บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ผู้จัดทำขอขอบคุณทุกท่านที่เขามาเยี่ยมชม

19 มิ.ย. 2555

กรีซสะท้าน เลือกตั้งเสร็จ วิบากกรรมไม่จบ

กรีซสะท้าน เลือกตั้งเสร็จ วิบากกรรมไม่จบ


    กลายเป็นสถานการณ์ตึงเครียดขีดสุดสำหรับชาวกรีกทั่วประเทศ สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเฟ้นหาผู้นำประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากบรรดาเพื่อนบ้านในภูมิภาคยุโรปและนักลงทุนทั่วโลกและเป็นการเกาะติดชนิดที่มีทั้งเอาใจช่วย กับร่วมกดดันให้ชาวกรีกตัดสินใจเลือกตัวเลือกถูกต้องและดีที่สุด เพราะผลลัพธ์ของการเลือกตั้งเดิมพันด้วยอนาคตที่สดใสของประเทศ ทางรอดของยุโรปโดยรวม ตลอดจนชะตากรรมเศรษฐกิจของโลก

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า เป็นการส่งสัญญาณกึ่งขอร้องแกมบังคับให้ชาวกรีกไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงคะแนนและหย่อนบัตรลงหีบ อย่าคิดง่ายๆ เพียงแค่จะออกเสียงโหวตเพื่อความสาแก่ใจ หรือสะใจเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเลือกตั้งของกรีซเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่นักวิเคราะห์หลายสถาบันชั้นนำของโลกยังคงเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า ผลลัพธ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นการรับประกันว่าปัญหาทั้งหมดของกรีซจะจบลง

ขณะเดียวกันที่ย่ำแย่กว่านั้น คือ ไม่ว่าพรรคประชาธิปไตยใหม่ (เอ็นดี) และพรรคปาซก ซึ่งเป็นสองพรรคที่ยังคงเลือกรักษาคำสัญญากับแผนรัดเข็มขัดของสหภาพยุโรป (อียู) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หรือจะเป็นพรรคไซรีซา ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดที่จ้องฉีกสัญญารัดเข็มขัดจะได้ขึ้นครองตำแหน่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หนทางเบื้องหน้าของกรีซกลับยังคงเต็มไปด้วยขวากหนามเท่าเดิม หรือเผลอๆ อาจจะซับซ้อนยุ่งยากมากกว่าเดิม

พูดอีกแง่หนึ่งก็คือ ไม่ว่าพรรคใดจะชนะ กรีซยังคงต้องเผชิญหน้ากับโจทย์สุดหินไม่เปลี่ยนแปลง

เพราะความขัดแย้งทางการเมืองยังคงมีอยู่

เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้อง

เพราะหนี้สาธารณะยังไม่มีหนทางชดใช้คืน

และปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ เวลาของกรีซเหลือน้อยลงทุกที เพราะภายในสิ้นเดือนนี้ หากกรีซยังไม่สามารถผ่านมาตรการรัดเข็มขัดอีก 77 มาตรการตามที่รับปากไว้กับอียู เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลืองวดต่อไป กรีซได้ล้มทั้งยืนตบเท้าออกจากกลุ่มยูโรโซนตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แน่นอน

เนื่องจากเงินสำรองของประเทศกรีซกำลังร่อยหรอหดหายไปเรื่อยๆ โดยมีการประเมินกันคร่าวๆ ว่า เงินที่กรีซมีเหลืออยู่ในปัจจุบันจะมีพอใช้จนถึงวันที่ 20 ก.ค.นี้เท่านั้น!

สำหรับอุปสรรคแรกสุดของกรีซในเรื่องประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ที่แม้พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะเห็นสอดคล้องกันว่า ไม่ต้องการเห็นกรีซพ้นจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโรโซน แต่จนแล้วจนรอด แต่ละพรรคก็ยังคงยึดติดกับแนวทางการจัดการปัญหา เพื่อรักษาความเป็นสมาชิกภาพของกรีซของตนเอง

ทั้งนี้ หากผลการเลือกตั้งจบลงที่พรรคใดพรรคหนึ่งได้ใจประชาชนเต็มที่ ได้คะแนนเสียงแบบเด็ดขาด ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวลแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นของโพลหลายสำนักเมื่อต้นเดือน มิ.ย. ต่างระบุตรงกันว่า การเลือกตั้งครั้งที่สองของกรีซจะไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงเด็ดขาด และมีแนวโน้มสูงว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมจากหลายพรรค

ความเป็นไปได้ดังกล่าวทำให้กรีซมีแววติดหล่มกับความขัดแย้งจนไม่สามารถก้าวไปไหนได้ แถมไม่ว่าพรรคใดจะได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลผสมกรีซ

วาสซิริกี จอร์เจียดูว์ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาแพนเธียน ในกรุงเอเธนส์ กล่าวว่า ตามหลักการปกครองแล้ว รัฐบาลผสมจะมีเสถียรภาพมั่นคงได้ดีต้องมาจากการรวมตัวกันของกลุ่มพรรคการเมืองอย่างน้อย 3 พรรคขึ้นไป ซึ่งหากพรรคประชาธิปไตยใหม่ได้เสียงข้างมาก โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ย่อมง่ายขึ้น เพราะแนวทางและจุดยืนของพรรคใกล้เคียงกับพรรคที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 3 จากการเลือกตั้งครั้งแรกอย่างพรรคปาซก

ทว่า หากพรรคขวาจัดอย่างไซรีซาได้เสียงข้างมาก กรีซคงต้องเสียเวลาพูดคุยเจรจาตกลงจัดตั้งรัฐบาลยาวนานกว่าปกติ จนอาจเลยกำหนดของอียูที่จะขอดูแผนรัดเข็มขัด เพื่อแลกกับเงินช่วยเหลืองวดต่อไปในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เนื่องจาก อเล็กซิส ทซิปราส หัวหน้าพรรครุ่นใหม่ไฟแรงประกาศปฏิเสธชัดเจนว่า ไม่คิดร่วมมือกับพรรคเอ็นดีหรือพรรคปาซก ซึ่งผลัดกันปกครองประเทศในช่วง 40 ปี จนทำให้ระบบการเมืองของกรีซเน่าเฟะ

นอกจากปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว พรรคการเมืองแต่ละพรรคยังต้องเผชิญกับภาระหนัก ระหว่างการเอาอกเอาใจประชาชนที่ต้องการให้รัฐผ่อนมาตรการรัดเข็มขัด กับการเดินหน้าคุมแผนประหยัดให้เข้มข้นขึ้นตามแผนของทรอยกา (อียู อีซีบี และไอเอ็มเอฟ) เพื่อการเป็นสมาชิกของอียูที่กรีซก้าวเข้าไปแล้วข้างหนึ่ง

ทั้งนี้ สองปีที่วิกฤตหนี้สาธารณะบานปลายหนัก กรีซได้รับเงินช่วยเหลือแล้วถึง 3.47 แสนล้านยูโร (ราว 13.53 ล้านล้านบาท) โดยแบ่งออกเป็นสองงวด คือ 1.1 แสนล้านยูโร ในปี 2553 และ 1.3 แสนยูโร ในปี 2555 ซึ่งมาพร้อมกับเงื่อนไขสุดเจ็บปวดสำหรับเจ้าหนี้ภาคเอกชนที่ต้องยอมตัดลดมูลค่าหนี้ลงมากกว่า 1.07 แสนล้านยูโร (ราว 4.173 ล้านล้านบาท)

เงินช่วยเหลือดังกล่าวไม่ใช่เงินให้เปล่า จึงเป็นภาระที่รัฐบาลกรีซต้องหาทางใช้คืน พร้อมแลกกับแผนรัดเข็มขัด ตัดลดรายจ่าย ลดการสร้างหนี้ และเพิ่มงบประมาณของรัฐ

เท่ากับว่า แม้รัฐบาลกรีซจะไม่ขอเงินช่วยเหลือใหม่ แต่หนี้เก่าที่ยังติดค้างกันไว้ก็เพียงพอแล้วที่ให้อียูใช้เป็นข้ออ้างบีบให้กรีซเดินตามแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า

แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองของกรีซในขณะนี้ แผนบีบแกมวิงวอนของอียูอาจให้ผลในทางตรงกันข้ามคือ เป็นการกดดันให้กรีซตัดสินใจเดินออกจากกลุ่มยูโรโซนเร็วขึ้นก็เป็นได้

ทั้งนี้ ซิตี้แบงก์ได้ประเมินไว้ว่ามีความเป็นได้สูงถึง 75% ที่กรีซจะเดินออกจากกลุ่มยูโรโซน ภายในหนึ่งถึงสองปีข้างหน้านี้ แต่ถ้าพรรคไซรีซาได้เสียงข้างมากและเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล แนวโน้มที่กรีซจะโบกมือลาจากกลุ่มยูโรโซนก็จะยิ่งเร็วขึ้น

และที่สุดก็คือ การสร้างประวัติศาสตร์การชักดาบเบี้ยวหนี้ครั้งมโหฬาร

ขณะที่อุปสรรคต่อมาอย่างเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะต้องหาทางจัดการให้ประชาชนได้กินอิ่น นอนหลับ มีงานทำ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ทว่า นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์กันไว้เรียบร้อยแล้วว่า ผลพวงจากแผนรัดเข็มขัดที่แม้จะมีแนวโน้มทำให้ปริมาณหนี้สาธารณะของประเทศจาก 161.7% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2554 ลดลงเหลือ 145.5% ในปี 2555 แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้เศรษฐกิจของกรีซในปีนี้จะหดตัวอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้วอีก 2.8%

ยังไม่รวมถึงปัญหาการว่างงานของประชาชนที่สูงถึง 22.6% ขณะที่ชาวกรีกในวัยหนุ่มสาวไม่มีงานทำสูงถึง 50%

พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่กระเตื้องแบบนี้ ปริมาณคนตกงานก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แน่ หากว่ารัฐบาลกรีซไม่สามารถวางแนวทางจัดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจริงจังมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะส่งผลต่อรายได้จากการเก็บภาษีของรัฐในที่สุด

แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นแล้ว นักวิเคราะห์ต่างเห็นตรงกันว่า กว่าที่รัฐบาลกรีซจะตั้งตัวได้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศอาจไถลลงใกล้ถึงก้นเหวมากขึ้นทุกปี

ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะเป็นเพียงการคาดการณ์โดยอาศัยการประมวล วิเคราะห์ สังเคราะห์จากข้อมูลข่าวสารรอบด้าน แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ผลลัพธ์ใดๆ ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เกินคาดเดา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องเสียเวลาเดาให้วุ่นวายกันอีกต่อไปก็คือ หนทางในวันข้างหน้าของกรีซยังคงเต็มไปด้วยขวากหนามไม่ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลือกเดินทางขวาก็ตาม
 http://money.impaqmsn.com/content.aspx?id=31354&ch=222

เทคนิคการบริหารการเงิน

การเงินส่วนบุคคล


"พงศ์พันธ์ อภิญญากุล"เติบโตมาจากเส้นทางสายงานนักวิเคราะห์การลงทุน ก่อนที่จะผันตัวเองมาสู่นักกล ยุทธ์การลงทุนมาดูแผนการเงินของเขาดีกว่า
เติบโตมาจากเส้นทางสายงานนักวิเคราะห์การลงทุน ก่อนที่จะผันตัวเองมาสู่เส้นทางของนักกลยุทธ์การลงทุน ปัจจุบัน “พงศ์พันธ์ อภิญญากุล” นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส ผู้รับผิดชอบการวางกลยุทธ์ในการลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อให้การจัดสรรเงินลงทุนของลูกค้าเกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ เมื่อต้องมาวางกลยุทธ์การลงทุนให้ตัวเองเขาก็มีมุมคิดที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน
พงศ์พันธ์ บอกว่า การลงทุนต้องมีมุมมอง (View) ที่ชัดเจนว่าจะออมไปเพื่ออะไร ส่วนตัวออมไปเพื่อชนะเงินเฟ้อที่ไม่ใช่เงินเฟ้อธรรมดาแต่เป็นเงินเฟ้อที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต เงินเฟ้อธรรมดาแค่ 3-4% แต่เงินเฟ้อที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตอาจจะสูง 8-10% เช่น มีบ้านพักอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกในระดับหนึ่ง ได้ทำบุญ ได้มีสังคมได้ใช้จ่ายกับสังคมบ้าง ได้ดูแลพ่อแม่พี่น้องได้ตามสมควร ได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ เป็นต้น เรียกว่าอยู่ในมาตรฐานการดำรงชีวิตที่สูงขึ้นไปในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ส่วนตัวจึงจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของตัวเอง เหมาะกับนโยบายการลงทุนของตัวเองเป็นหลัก ในเงินออม 100% จะเป็นเงินลงทุนใน “ทรัพย์สิน” ประมาณ 85% เช่น อสังหาริมทรัพย์และของเก่า ที่เหลืออีก 15% เป็นการลงทุนใน “สินทรัพย์ทางการเงิน” เป็นเงินออมที่มีสภาพคล่อง เช่น เงินสด เงินฝาก หุ้น รวมทั้งกองทุนรวมประหยัดภาษี เป็นต้น

“การลงทุนในทรัพย์สินเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทรัพย์สินที่ลงทุนในตอนนี้เพราะรู้ว่าในอนาคตมันจะเพิ่มค่าขึ้นมาอีกมาก ไปรอขายในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะทำให้เรา มีเงินพอที่จะชนะเงินเฟ้อที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตแน่ๆ ถ้าเก็บเงินในปัจจุบันไว้ใช้ยามแก่แล้วมันไม่มีรายได้ เจอเงินเฟ้อเข้าไปก็จะทำให้อำนาจซื้อของเงินลดลง เงินสดถ้าถือไว้โดยไม่มีนโยบายการจัดการที่ดีก็จะแพ้เงินเฟ้อแต่ทรัพย์สินชนะ นี่จึงทำให้มีสัดส่วนการลงทุนในทรัพย์สินค่อนข้างมาก”

พงศ์พันธ์ ยังบอกอีกว่า ทรัพย์สินที่ลงทุนจะเป็น “อสังหาริมทรัพย์” ส่วนหนึ่ง ทั้งบ้านที่อยู่ ตึกแถว หรือที่ดินว่างของครอบครัวก็ไปพัฒนาให้เป็นพื้นที่เช่า ช่วงหลังๆ ก็หันมาลงทุนใน “ของเก่า” โดยเฉพาะเครื่องลายครามและแจกันกระเบื้องเคลือบเซรามิคจีน สะสมด้วยความชอบและถือเป็นการลงทุนด้วยในตัว แรกๆ ไม่ได้มองเรื่องของการลงทุนแต่ต้องการจะซื้อมาตกแต่งบ้านเพราะเป็นความชอบส่วนตัว ประมาณ 7 ปี ก่อน เพราะว่าซื้อบ้านใหม่แล้วก็พัฒนาจนมาเป็นเรื่องของการลงทุน ก็ทุ่มเงินไปในเรื่องนี้ค่อนข้างมากตามจิตวิญญาณธรรมชาติของนักสะสม แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าของเก่ามีทั้ง “ของปลอม-ของจริง” เหมือนตอนแรกที่เริ่มต้นลงทุนในหุ้นเลย ของเก่าที่ซื้อในช่วงแรกอาจจะไม่ดีนักก็ทยอยขายออกไป หลังจากนั้นก็ปรับปรุงไปซื้อของชิ้นใหญ่ ของดี ของที่มีประกัน ไม่ได้ซื้อของที่ราคาอีกแล้วแต่เน้นซื้อของที่ “คุณภาพ” ในช่วงหลังเรียกว่าเอาของเก่าที่มีคุณภาพเข้ามาแทน

“การลงทุนในของเก่าความเสี่ยงอยู่ที่ดูพลาดกับดูไม่พลาดว่าเป็นของปลอม แต่ถ้าเป็นของจริงลงทุนไปแล้วแทบไม่เสี่ยงเลย เคยเจอคนสะสมของเก่าหลายคนแนะนำว่าถ้ามีเงินให้เล่นของเก่า 100% เพราะว่าถ้าเป็นของจริงแล้วราคามีแต่จะขึ้นไม่มีลง ไม่เคยมีเบญจรงค์ที่ราคาลงไม่เคยมี ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อถล่มทลาย ในอนาคตของเก่าเหล่านี้ก็จะมีค่ามากขึ้นด้วย ได้ทั้งการลงทุนและความสุขทางใจด้วย”

นอกจากนี้การลงทุนในของเก่ายังมีความเสี่ยงในเรื่องของ “สภาพคล่อง” ด้วยเช่นกัน เพราะของเก่าไม่มีราคากลางไม่สามารถประเมินได้ว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่ตรงไหนเหมือนกับหุ้น ด้วยสภาพคล่องที่น้อยและ “ตลาดที่แคบ” ทำให้ราคามี 2 อย่าง คือ “ดีเลย” กับ “แย่เลย” แต่ปัจจุบันตัวเองกำลังอยู่ในฝั่งผู้ซื้อ เมื่อเป็นผู้ซื้อและรู้ว่าตลาดเป็นเช่นนี้ก็จะไปซื้อตอนถูกมากๆ กับคนที่ต้องการจะขาย แล้วเวลาขายต้องขายตอนรวย คือตอนที่เราไม่อยากจะขายแล้วมีคนมาร้องขอซื้อจากเรา เหมือนกับหุ้น ตอนอยู่เฉยๆ หุ้นไม่มีค่าอะไร แต่พอมีเรื่องราวที่ดีมารองรับ (story) มีคนมาเข้าคิวซื้อเราก็ขายไป แต่ว่าศาสตร์ในการขายยังไม่ได้ศึกษา แต่ศาสตร์ในการซื้อก็ประยุกต์เอามาจากการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก

“ในช่วงหลังๆ 5 ปี ที่ผ่านมาจะไปลงทุนในทรัพย์สินค่อนข้างมาก เพราะตัวเองยังมีกำลังที่จะลงทุนในทรัพย์สินได้ ในส่วนของตราสารทางการเงินเองเราก็มีความรู้อยู่แล้ว ก็จะลงทุนเป็นรอบๆ โดยมองดูว่า ช่วงนี้เหมาะสมกับการลงทุนประเภทไหน ถ้าลงทุนในหุ้นส่วนตัวจะลงทุนในหุ้นเพียง 1 - 2 ตัว แล้วลงทุนแบบรอได้ เข้าไปซื้อตอนที่หุ้นไม่มีพรีเมียมเลย ดูว่าพื้นฐานดีแล้วยังไม่มีคนเห็นก็ทนถือไป แล้วรอไปขายเมื่อคนมาเห็นคุณค่าตอนที่คนแห่เข้าไปลงทุนในหุ้นเยอะๆ แบบนี้น่าจะเป็นเวลาขาย เป็นต้น”

ส่วนตัวพงศ์พันธ์เองนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือ “อิสรภาพทางการเงิน” ที่ย่อมสำคัญมากกว่า "ความร่ำรวย" เพราะการมีอิสรภาพทางการเงินจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องทุ่มเทชีวิตไปกับการสร้างความร่ำรวยจนอาจจะสูญเสียเรื่องสำคัญอื่นๆ ในชีวิตตัวเองไป
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/

คนที่แล้วก็พูดแบบนี้

แบงก์ชาติเตือนตลาดหุ้น-ตลาดเงินตึงตัว!

วานนี้ (18 มิ.ย.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการ 2 ชุดเล็ก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.)  เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป รวมถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการ 2 ชุด ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการใช้กฎหมายพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมเมื่อปี 2551

การประชุมครั้งนี้ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ผลการเลือกตั้งของกรีซต่อตลาดทุนและตลาดเงินทั่วโลก เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย แม้ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคที่สนับสนุนมาตรการรัดเข็มขัดจะได้รับชัยชนะและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งของกรีซ น่าจะช่วยคลายความกังวลของตลาดการเงินโลกได้ในระดับหนึ่ง เพราะผลการเลือกตั้งของกรีซที่ออกมาพรรครัฐบาลที่สนับสนุนการรัดเข็มขัดและเป็นผู้ทำข้อตกลงในเงื่อนไขการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็น่าจะทำให้เจ้าหนี้ของกรีซคลายความกังวลลง แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าปัญหาต่างๆ ของกรีซจะได้รับการแก้ไขจนหมดไป

"แม้ผลเลือกตั้งออกมาค่อนไปทางที่พรรค ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำเงื่อนไขในการขอความช่วยเหลือให้กับกรีซจะได้รับชัยชนะ แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัญหาต่างๆ จะได้รับการแก้ไข ความเสี่ยงพวกนี้จึงไม่ได้หมดไป 100% ดังนั้น ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามไป"
 http://www.bangkokbiznews.com