บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ผู้จัดทำขอขอบคุณทุกท่านที่เขามาเยี่ยมชม

13 ก.ย. 2555

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้กล่าวถึงเรื่องของตลาดการเงินกันไปแล้ว สำหรับสัปดาห์นี้เราขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านรู้จักกับอนุพันธ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) ว่าคืออะไร นะครับ "อนุพันธ์ หรือ Derivatives" จัดเป็นเครื่องมือสำหรับการลงทุนชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยหลักการแล้ว อนุพันธ์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าในตัวเอง แต่จะอ้างอิงกับมูลค่าจากสินทรัพย์อื่นแทน อนุพันธ์เป็นที่นิยมในตลาดการเงินของโลก เนื่องจากอนุพันธ์สามารถออกแบบให้มีความหลากหลายได้ตามลักษณะการลงทุน นอกจากนี้มูลค่าของอนุพันธ์นั้นๆ ยังสามารถเชื่อมโยงกับราคาสินทรัพย์มากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไป หรือ สินทรัพย์ต่างประเภท หรือ เชื่อมโยงกับมูลค่าของอนุพันธ์ด้วยกันเองก็ได้
สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contract) เป็นอนุพันธ์ที่ค่อนข้างเรียบง่าย และมีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก โดยมูลค่าของ Futures นั้น จะมีค่าเท่ากับราคาของทรัพย์สินอ้างอิง ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เราสามารถแบ่งสัญญา Futures ออกเป็นกลุ่มตามสินทรัพย์ที่ใช้อ้างอิง (Underlying) และในแต่ละกลุ่มยังสามารถแบ่งได้เป็น Series ตามวันหมดอายุของสัญญา (Maturity Date) ตัวอย่างเช่น Futures น้ำมัน NYMEX ส่งมอบเดือนมีนาคม 2551 เป็นต้น มูลค่าของสัญญา Futures มักจะเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับราคาที่ใช้ซื้อขายสินทรัพย์ในปัจจุบัน เนื่องจากนักลงทุนทั่วไปจะใช้ราคาในปัจจุบัน ประกอบกับการคาดการณ์แนวโน้มอุปสงค์-อุปทานของสินทรัพย์นั้นๆ เป็นพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ราคา
ในการซื้อขายสัญญา Futures ใน Series หนึ่งๆ จะต้องมีผู้เสนอราคาซื้อ (Long Side) และผู้เสนอราคาขาย (Short Side) หากผู้ซื้อและผู้ขายสามารถตกลงราคาที่สองฝ่ายพอใจก็จะเกิดสัญญา Futures ขึ้น ซึ่งตราบใด ที่ผู้ซื้อ และผู้ขาย ยังมีความต้องการที่จะซื้อขาย ปริมาณการเกิดของสัญญานั้นก็สามารถมีได้ไม่จำกัดจำนวน ผิดกับตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีจำนวนหุ้นเท่ากับที่ได้จดทะเบียนไว้ ทั้งนี้ท่านผู้อ่านจะสามารถดูจำนวนสัญญา Futures ที่เปิดอยู่ในตลาดทั้งหมด ได้จากข้อมูล สถานะคงค้าง หรือ Open Interest (OI) ครับ
ผลตอบแทนที่เกิดจากการซื้อขายสัญญา Futures นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อราคาของสัญญา Futures เปลี่ยนแปลงไปจากราคาที่นักลงทุนเข้ามาเปิดสัญญา โดยนักลงทุนที่เข้ามาถือสถานะซื้อล่วงหน้า (Long Position) จะมีผลตอบแทนเมื่อราคา Futures ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกันนักลงทุนที่เข้ามาถือสถานะขายล่วงหน้า (Short Position) จะแสวงหาผลตอบแทนจากราคา Futures ที่ปรับตัวลดลง
ในประเทศไทย มีตลาดซื้อขายสัญญา Futures หรือ ที่เรียกกันว่าตลาดล่วงหน้าอยู่สองตลาดด้วยกัน ได้แก่
1. ตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) เป็นศูนย์กลางในการซื้อขาย Futures ที่อิงมูลค่าจากตัวเลขดัชนี SET50 นักลงทุนจะสามารถเข้ามาใช้ SET50 Index Futures เป็นช่องทางทำกำไรได้ตลอดเวลาไม่ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่ในแนวบวกหรือแนวลบ หรือจะใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงแก่หลักทรัพย์ที่ตนเองถืออยู่ก็ได้
2. ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) เป็นศูนย์กลางในการซื้อขาย Futures ที่อ้างอิงมูลค่าจากราคาสินค้าเกษตรประเภทต่างๆ ได้แก่ ยางพารา ข้าว และมันสำปะหลัง ซึ่งนอกจากนักลงทุนจะเข้ามาแสวงหาผลกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าแล้ว การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าด้านสินค้าเกษตรในตลาด AFET ยังเป็นเพียงช่องทางเดียวที่นักลงทุนในประเทศจะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ Commodities ได้ โดยไม่ต้องทำธุรกิจค้าขายในสินค้านั้นๆ ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้าเกษตรก็สามารถเข้ามาใช้ Futures เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้านั้นๆ ได้อีกด้วย
www.afet.or.th   หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน 23 มกราคม 2551

NIDAITM CONTEST2 วิธีการและแนวทางในการลงทุน ของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ by NIDAITM CONTEST2


หุ้นไม่ใช่เพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่งอย่างที่หลายๆคนคิด  มันเป็นเอกสารที่แสดงถึงความมีส่วนเป็นเจ้าของในกิจการนั้นด้วย เมือคิดจะลงทุน  จงใช้มุมมองอย่างเจ้าของกิจการในการเลือกลงทุน มุ่งเน้นลงไปในกิจการและข้อมูลเบี้องหลัง  ไม่ใช่แค่มองว่ามันเป็นแค่หุ้น ต้องรู้ใช้ชัดว่ากิจการนี้ทำอะไร และทำได้ดีแค่ไหน? พิจารณาลงทุนเฉพาะกิจการที่เราเข้าใจได้  เพราะไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถที่จะค้นหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการที่เราเป็นเจ้าของได้ มีกิจการที่ดีเพียงไม่กี่บริษัทที่เราจะสามารถลงทุนแล้วได้รับผลตอบแทนสูง  ในโลกนี้ประกอบไปด้วยธุรกิจที่ดีเด่น ธุรกิจที่แย่ และธุรกิจที่ไม่ดีไม่เลว  จงจำกัดการค้นหาธุรกิจนั้นโดยมองย้อนไปถึงประวัติเก่าๆของกิจการนั้นๆ
"นักลงทุนควรที่จะคิดเสมอว่าการลงทุนนั้นเปรียบเสมือนการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตซึ่งมีได้เพียงยี่สิบครั้งเท่านั้น  ดังนั้นการตัดสินใจทุกครั้งจะต้องไตร่ตรองให้ดีเพราะหากพลาดไปจะเหลือโอกาสอีกไม่มาแล้ว"
ธุรกิจที่ดีจะเสมือนว่ามีทางด่วน  ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายเพื่อข้ามไปสู่จุดหมายปลายทางที่เขาต้องการ  และสิ่งนี้จะทำให้กิจการนั้นสามารถเติบโตได้ตลอดไป ดังตัวอย่างเช่น
บริษัทหลายบริษัทจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ สินค้าและบริการของตัวเอง  ซึ่งบริษัทโฆษณาก็จะสามารถได้รับผลประโยชน์จากความต้องการโฆษณานี้ด้วย
ผู้ชายส่วนใหญ่จำเป็นต้องโกนหนวด และผู้หญิงก็อาจจะโกนขนขา  สำหรับกิจการที่ผลิตมีดโกนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเช่น Gillette ซึ่งสามารถยึดคลองตลาดที่ไม่มีวันหดหายไปได้เลย  และจะเติบโตไปตามการขยายตัวของจำนวนประชากรโลก
ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มักจะมีคุณสมบัติต่างๆดังนี้
1 ไม่ซับซ้อน (Simplicity) กิจการเหล่านี้จะเข้าใจได้ง่ายๆ  และใช้การบริหารแบบธรรมดา
2 ธุรกิจเสมือนมีสิทธิพิเศษที่แข็งแกร่ง (Strong business franchises) ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จาก ค่าความนิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Goodwill) เช่นสามารถปรับราคาขึ้นได้โดยที่ลูกค้าไม่มีความขัดข้อง
3 สามารถคาดการได้ (predictability) สามารถคาดการผลประกอบการได้อย่างมั่นใจ
4 ผลตอบแทนจากเงินทุนสูง (High return on Equity) สามารถที่จะมีผลตอบแทนจากเงินทุนได้สูงโดยไม่ต้องอาศัยการตบแต่งบัญชี (Creative  Accounting) หรือการใช้เงินลงทุนจากการกู้  ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนี้สำคัญกว่าตัวเลขกำไรต่อหุ้นที่หลายๆคนให้ความสำคัญเสียอีก

5 สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดี (Strong Cash Generation) เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีการลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันให้สูงอยู่ตลอดเวลา  ธุรกิจที่แข็งแกร่งจริงจะใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อยก็สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคง
6 อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น (Devotion to Shareholder  Value) การที่มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ และมีฝีมือทุ่มแรงกายแรงใจให้แก่งานของบริษัท  เพื่อสร้างมูลค่าให้กิจการตลอดเวลา
ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจจงจำไว้ว่า "ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย  มูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ" ดังนั้นการลงทุนใดๆเราต้องคำนึงถึงส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ระหว่างราคากับมูลค่าให้มากไว้  เพื่อหากว่าเราเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ยังไม่ทำให้เราขาดทุนมาก
ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงนั้น วอร์เร็น มักจะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discount  Cash flow) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า DCF วิธีการนี้คือการประมาณกระแสเงินสดในอนาคตที่กิจการจะได้รับ  และคิดลดกระแสเงินสดนั้นกลับมา ณ  ปัจจุบันโดยใช้อัตราคิดลดที่ปราศจากความเสี่ยงโดยเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล  อาจจะเป็น10ปีหรือน้อยกว่านั้น  ซึ่งผลที่ได้สามารถบอกเราได้ถึงส่วนต่างของราคาปัจจุบันกับมูลค่าซึ่งนั่นก็คือส่วนต่างเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ไม่สนในการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้น วอร์เร็นเคยพูดไว้ว่า "หลังจากที่ซื้อหุ้นแล้ว  ผมจะไม่สนใจตลาดหุ้นเลยและถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะปิดทำการยาวนานถึง10ปีก็ตาม  ทั้งนี้ก็เพราะว่าผมมั่นใจธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงของมันซึ่งผมไม่จำเป็นต้องให้ตลาดหุ้นมารับรู้ด้วยก็ได้"
วอร์เร็นจะขายหุ้นก็ต่อเมื่อ
ถ้ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามอัตราที่ควรจะเป็น
ถ้ามูลค่าตลาดของกิจการเพิ่มสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงที่ประเมินได้มากจนเกินไป

http://iam.hunsa.com/nidaitm/article/95021

MONEY TALK - ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี VI

ธนาคารกรุงเทพ ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ 99 ปี ด้วยความเชื่อมั่นของธนาคารกลางประเทศเวียดนาม

ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารกลางแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มอบใบอนุญาตดำเนินกิจการธนาคารอายุ 99 ปี ภายหลังจากใบอนุญาตล่าสุดที่มีอายุ 20 ปี ครบอายุในปีนี้ ด้วยระยะเวลามากกว่า 50 ปี ที่เปิดให้บริการในประเทศเวียดนาม สามารถสะท้อนความมั่นคงแข็งแกร่ง ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ การเงินการธนาคารในเวียดนาม พร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้เป็นอย่างดี
นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับเป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามมอบใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารในเวียดนามอายุ 99 ปี นับเป็นธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตเป็นระยะเวลายาวนานสูงสุด ต่อเนื่อง จากใบอนุญาตฉบับก่อนหน้านี้ที่มีอายุ 20 ปี ที่ครบอายุในปี
พ.ศ.2555 นี้ ส่งผลให้ธนาคารกรุงเทพทั้ง 2 สาขาในประเทศเวียดนาม ได้แก่สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ และสาขาฮานอย สามารถให้บริการลูกค้าภายใต้ใบอนุญาตฉบับดังกล่าวได้ถึงปีพ.ศ.2654 "การได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารที่มีอายุ 99 ปี ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของธนาคารแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามที่มีต่อการเปิดให้บริการของธนาคารในช่วงที่ผ่านมาด้วยประสบการณ์มากกว่า 50 ปี ในประเทศเวียดนาม ธนาคารกรุงเทพได้รับการยอมรับตลอดจนความไว้วางใจจากประชาชนและทางการเป็นอย่างดี อีกทั้งธนาคารแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้มอบรางวัลเกียรติคุณ (Certificate of Merit) ให้กับธนาคารกรุงเทพ "เพื่อยกย่องความสำเร็จอันโดดเด่นและผู้นำด้านการธนาคาร" ในปีพ.ศ.2551-2553"
นายไชยฤทธิ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับในประเทศเวียดนาม ธนาคารกรุงเทพได้เริ่มเปิดให้บริการสาขาไซง่อนในปีพ.ศ.2504 ก่อนหยุดให้บริการเนื่องจากภาวะสงครามในปีพ.ศ.2518 ภายหลังสงครามสิ้นสุดธนาคารกรุงเทพถือเป็นธนาคารต่างประเทศแห่งแรกที่สามารถกลับไปเปิดให้บริการที่สาขาโฮจิมินห์ซิตี้ในปีพ.ศ.2535 และสาขาฮานอย ในปีพ.ศ.2537 ปัจจุบันมีนายธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ ผู้จัดการทั่วไป สาขาประเทศเวียดนาม รับผิดชอบคอยดูแลและให้บริการ ด้วยความมั่นคงแข็งแกร่ง ความรู้ความเข้าใจ เครือข่ายความสัมพันธ์ทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ทำให้ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งลูกค้าชาวไทยที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม ลูกค้าชาวเวียดนาม และนักลงทุนต่างประเทศที่ต้องการใช้โอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ขยายกิจการสู่เวียดนาม ซึ่งธนาคารมีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจของลูกค้าในเวียดนามเป็นไปอย่างราบรื่น และเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจที่ลูกค้าได้ขยายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว
"การขยายเครือข่ายสาขาในต่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของธนาคาร ที่มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ปัจจุบันธนาคารมีเครือข่ายสาขาจำนวน 26 แห่ง ใน 13 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งในรูปแบบที่เป็นสาขาของธนาคาร หรือธนาคารท้องถิ่นในประเทศ รวมไปถึงสำนักงาน ผู้แทน ด้วยเครือข่ายสาขาที่กว้างขวางและมั่นคงนี้ทำให้ธนาคารกรุงเทพ เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของภูมิภาค ที่มีความพร้อมสูงสุด สำหรับรองรับการหลอมรวมกันทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต"
         www.bangkokbank.com    (10 กันยายน 2555)

SCB ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม หุ้นกู้ด้อยสิทธิ 2 หมื่นล้านบาทขายเกลี้ยงภายใน 1 วัน

ธนาคารไทยพาณิชย์ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนที่จองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 20,000 ล้านบาทของธนาคารอย่างล้นหลาม จนสามารถจัดจำหน่ายได้ครบเต็มจำนวนเพียง 1 วัน  สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อความแข็งแกร่งของธนาคาร โดยการระดมเงินระยะยาวในครั้งนี้จะนับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งในเงินกองทุนขั้นที่ 2 ของธนาคาร เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อและธุรกิจในอนาคต
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารขอขอบคุณนักลงทุนที่ได้มอบความไว้วางใจในการจองซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิ วงเงิน 20,000 ล้านบาท อายุ 12 ปี ที่ธนาคารได้เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ 5- 14 กันยายน 2555 ผ่านสาขาของธนาคารทั่วประเทศ จนทำให้ธนาคารสามารถจำหน่ายหุ้นกู้ได้ทั้งหมดก่อนกำหนด โดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 วัน สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อความแข็งแกร่งของธนาคารทั้งทางด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคงและผลประกอบการที่เจริญเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารจะมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่อไป ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายและตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ
สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิธนาคารไทยพาณิชย์ วงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท อายุ 12 ปี ซึ่งปิดการจำหน่ายลงก่อนกำหนดนั้น มีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.65% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ชำระเงินต้นครั้งเดียว และครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้วันที่ 17 กันยายน 2567 โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนดหลังครบ 7 ปีนับตั้งแต่วันออกหุ้นกู้ ได้รับการจัดอันดับจาก บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ AA- เป็นทางเลือกในการลงทุนระยะยาวที่มีผลตอบแทนแน่นอน ด้วยความเสี่ยงในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยสูง

กสิกรไทย แนะบุกตลาดพม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย รับมือเศรษฐกิจโลกและประชาคมอาเซียน

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 2555 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทางธนาคารมองว่ายังคงมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด อาทิ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการสนับสนุนประเทศในโซนยุโรป ซึ่งทำให้ยูโรโซนอาจสั่นคลอนได้อีกครั้ง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นไปอย่างเชื่องช้าและมีแนวโน้มเปราะบางมากขึ้น ทำให้ค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจนำเข้าส่งออกควรปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อหลีกเลี่ยงส่วนต่างของกำไรที่อาจจะลดลง อีกทั้งการรวมตัวของประชาคมอาเซียนที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีในปีหน้า ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวรับมือการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นอีกขั้นหนึ่งโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร และสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชนภายในประเทศจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยที่ช่วยลดผลกระทบในเชิงลบจากปัจจัยภายนอกได้ ในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศของผู้ประกอบการรายใหญ่ มีโครงการที่ต้องการไปลงทุนและไปลงทุนแล้วรวมกว่า 400 โครงการ ประเมินเป็นมูลค่ารวมได้กว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่ไปลงทุนในประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) และอินโดนีเซีย อุตสาหกรรมหลักที่ไปลงทุน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป วัสดุก่อสร้าง ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี โดยจากการศึกษาของทางธนาคารพบว่าประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ ได้แก่ ประเทศพม่า เวียดนาม และอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในต่างประเทศยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจึงแนะนำให้ผู้ประกอบการทำการค้ากับประเทศดังกล่าวระยะหนึ่งก่อนเพื่อทำความเข้าใจตลาด ก่อนที่จะลงทุนกับประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ จากการทำความเข้าใจธุรกิจและความต้องการของลูกค้าในเชิงลึก ธนาคารกสิกรไทยมีความพร้อมในการให้บริการและสนับสนุนการค้าการลงทุนและการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) แก่ผู้ประกอบการไทยเพื่อให้เติบโตในเวทีโลกอย่างยั่งยืน นายวศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ทางสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท ธนาคารกสิกรไทยได้มีแผนรองรับและเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์อยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้ตั้งเป้าสินเชื่อคงค้างสิ้นปีเติบโตที่ประมาณ 8% หรือใกล้คียงกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ และตั้งเป้าเติบโตค่าธรรมเนียมประมาณ 10-12% โดยธนาคารจะมุ่งเน้นกลยุทธ์การบุกตลาดต่างจังหวัด (Urbanization) ที่เป็นหัวเมืองหลัก เช่น นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญในการเชื่อมต่อการค้าการลงทุนของการค้าชายแดนและประชาคมอาเซียน สำหรับผลประกอบการของสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทในครึ่งปีแรก มียอดสินเชื่อคงค้างที่ 368,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างการเติบโตที่รายได้จากค่าธรรมเนียมและรายได้ดอกเบี้ยที่ไม่ได้มาจากสินเชื่อประมาณ 18% ทำให้รายได้โดยรวมเติบโตจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน 13% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มยอดรายได้ค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกมีโครงการสำคัญคือ การให้สินเชื่อโครงการในอุตสาหกรรมพลังงานที่มีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 84,000 ล้านบาท และการให้สินเชื่อแก่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างจังหวัด รวมถึงการให้บริการแก่ธุรกิจค้าปลีกในด้านการบริหารเงินสดที่สะท้อนการมุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจที่เติบโตในตลาดต่างจังหวัด หรือ urbanization อย่างเป็นรูปธรรมของธนาคาร      (วันอังคารที่ 4 กันยายน 2555 )  www.kasikornbank.com

12 ก.ย. 2555

ลงทุนอย่างไรในทองคำ Classic Gold Futures

สัญญาซื้อขาย

‘ลีสซิ่ง’ จัดเต็มเอาใจลูกค้าลดขั้นตอน/ขอปุ๊บอนุมัติปั๊บ

จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่า การเติบโตของสินเชื่อภาคเอกชนใน ช่วงที่ผ่านมาแม้ขยายตัวค่อนข้างมาก แต่ยังไม่ถือว่า ร้อนแรงเกินไป เนื่องจากเป็นการเติบโตที่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและของธปท. เช่น มาตรการปล่อยสินเชื่อ ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ในช่วงที่เกิดปัญหาน้ำท่วม รุนแรง ขณะที่มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์นั้นที่ผ่านมาพบว่า ภาพรวมไม่ได้ต่าง ไปจากเดิมมากนัก โดยยอมรับว่ามีบางธนาคารที่ความ เข้มงวดหย่อนลงในบางช่วง แต่ช่วงหลังๆ จะเห็นว่าส่วนใหญ่มีความเข้มงวดเพิ่มเติมขึ้น อย่างไรก็ดีธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ยังคงมีการแข่งขันสูง
นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด หรือ “ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ” ผู้ให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทุกประเภท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานโดยภาพรวมตลอด 6 เดือนแรกของปี 55 มีอัตราการเติบโตสูงกว่าเป้าหมายในทุกด้าน หากคิดเป็นอัตราการขยายตัวด้านสินเชื่อเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีการเติบโตถึง 50% และจำนวนยอดลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 25% ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในพื้นที่ภาคเหนือของบริษัทมีส่วนช่วยผลักดันให้ผลดำเนินการเติบโตอย่างชัดเจน ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 65% และจำนวนยอดลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 40% เมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะสามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
นายธัญญพงศ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำจุดแข็งของบริษัทภายใต้คำขวัญ “ของ่าย ได้ไว” ได้ออกข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าในพื้นที่จ.เชียงใหม่กับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเก๋ง/กระบะ “ไม่ต้องโอน ไม่ต้องค้ำ รับเงินแสน ภายใน 2 ชั่วโมง” เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ลูกค้าที่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปโอนเล่มทะเบียนที่ขนส่ง ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และรับเงินภายใน 2 ชั่วโมง และสำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ขออนุมัติ รับเงินภายใน 30 นาที
ด้านนายไพโรจน์ ชื่นครุฑ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส หรือกรุงศรี ออโต้ เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดที่ปรับยุทธศาสตร์การขยายสาขาใหม่ภายใต้แนวคิด “สาขาใหม่ ใกล้ชิดคุณ” โดยมุ่งเน้นพื้นที่ในเมืองทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดจากเดิมที่มุ่งเน้นการขยายสาขาตามภูมิภาคหลักทั่วประเทศ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่นอย่างใกล้ชิด ยิ่งขึ้น โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการเปิดสาขาใหม่นำร่องแล้ว 3 สาขา ได้แก่ สาขาเยาวราช, สาขาอยุธยา และสาขาปั๊มน้ำมันปตท. รามอินทรา ซึ่งสาขาทั้ง 3 แห่ง จะมีลักษณะเฉพาะเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้า ที่แตกต่างกันไป
“3 สาขาที่เปิดใหม่นั้น มีแนวคิดที่สาขาเยาวราชจะถือเป็นที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ อยู่ใจกลางเมือง ทำให้ช่วยประหยัดเวลาและลดขั้นตอนการติดต่อเดินทาง และเป็น One Stop Service Center ที่สามารถตอบโจทย์การให้บริการทางการเงินครบวงจรกับผู้บริโภค และสาขาสถานีบริการน้ำมัน ปตท. มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ให้ยิ่งเข้าถึงบริการได้สะดวกสบายมากขึ้น โดยสามารถใช้บริการได้ทุกที่ ทุกเวลา ในแบบครบวงจรทั้งเรื่องรถและเรื่องเงิน”
นายไพโรจน์กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การแข่งขันสินเชื่อเช่าซื้อยังคงรุนแรงแต่โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจมีไม่มาก ซึ่งการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ย นโยบายไว้ที่ 3% สินเชื่อเช่าซื้อคงขยับไม่ได้ เว้นแต่แบงก์มีต้นทุน เงินฝากที่มากขึ้น ดอกเบี้ยเช่าซื้ออาจต้องขยับ เช่นเดียวกันกับ สินเชื่อบ้านที่มีบางแบงก์ออกมาระบุแล้วว่าต้องขึ้นในไตรมาสสี่นี้
“แต่ละไฟแนนซ์หันมาเน้นการให้บริการ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นกลยุทธ์หลักในการทำการตลาด แทนที่จะใช้ดอกเบี้ยถูก เพราะในวงการทราบดีว่าดอกเบี้ยรถยนต์ถูกอยู่แล้ว หากต้องกดลงให้ต่ำอีกก็ไม่ได้กำไรแล้ว” นายไพโรจน์กล่าวและว่า ปัจจุบันดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่อยู่ที่ 2.4-2.5% ดอกเบี้ย สินเชื่อรถยนต์เก่าเริ่มต้นที่ 3.75% และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เริ่มต้นที่ 3.34% ขึ้นอยู่กับอายุของรถ

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413366258

บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดตัวกองกุนSCB Smart Plan 3 รุ่น กระจายเสี่ยง 3 ระดับ

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมออกกองทุนใหม่พร้อมกันจำนวน 3 กองทุน มูลค่ากองทุนละ 5,000 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 2 (SCB Smart Plan 2 Open End Fund) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 3 (SCB Smart Plan 3 Open End Fund) และ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 4 (SCB Smart Plan 4 Open End Fund) ซึ่งแต่ละกองทุนจะมีลักษณะการจัดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆที่ชัดเจน และแตกต่างกันไปตามความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ โดยจะเปิดจองในวันที่ 18-25 กันยายนศกนี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
นางโชติกากล่าวว่า การกระจายความเสี่ยงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการลงทุน และการจัดพอร์ตยังมีความสำคัญกว่า 90 % ของผลตอบแทน ซึ่งนักลงทุนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจะสามารถดูแลและจัดพอร์ตตนเองได้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศไทยโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว การออกกองทุน SCB Smart Plan ทั้ง 3 กองทุนนี้จึงมีนโยบายที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ความสี่ยงน้อย ปานกลาง และความเสี่ยงมาก เพียงแต่ลูกค้าต้องรับทราบความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และเลือกกองทุนที่เหมาะกับตนเองแล้วปล่อยหน้าที่ให้ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ดูแลในการจัดสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด และคอยบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด
“คอนเซ็ปต์ของการลงทุนกองทุน SCB Smart Plan จะเป็นการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบ Risk Target Fund ซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศ และโดยปกติการจัดพอร์ตรูปแบบดังกล่าวกลุ่มไทยพาณิชย์จะให้คำแนะนำสำหรับนักลงทุนสถาบัน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่จะนำมาใช้กับนักลงทุนรายย่อย โดยจะอิงกับแบบประเมินความเสี่ยงที่จัดทำโดยสำนักงานกลต. ที่แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 5 ระดับ จากความเสี่ยงต่ำสุดคือระดับ 1 ไปจนถึงความเสี่ยงสูงสุดที่ระดับ 5 โดยกองทุน SCB Smart Plan 2,3 และ 4 จะออกมาเพื่อรองรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับ 2 ,3 และ 4 ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะปรับน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่กำหนด (VAR) ประมาณ -5%, -10% และ -15% ต่อปีตามลำดับ” นางโชติกากล่าว
นายศรชัย สุเนต์ตา รองกรรมการผู้อำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวถึงนโยบายการลงทุนของกองทุนสมาร์ทแพลน ว่า กองทุน SCB Smart Plan 2 มีนโยบายลงทุนในตราสารที่หลากหลาย อาทิ ตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก อสังหาริมทรัพย์ฯลฯ โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 และไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -5% ต่อปี
สำหรับกองทุน SCB Smart Plan 3 มีนโยบายลงทุนที่หลากหลายเช่นเดียวกับ Smart Plan 2 แต่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 34 รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 35 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง โดยผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -10% ต่อปี ส่วนกองทุน SCB Smart Plan 4 จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 43 รวมทั้งลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 36 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง โดยผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -15% นอกจากนี้กองทุนทั้ง Smart Plan 3 และ 4 ยังมีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ ตราสารหนี้โลก ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ ตราสารทุนโลก ตราสารทุนตลาดเกิดใหม่ เป็นต้น ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิเช่น Wellington, Investec, Veritas และ Robeco และ ยังเพิ่มการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ทองคำ เป็นต้น
“หากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังในแต่ละปี เราจะพบว่าไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีทุกๆปี SCB Smart Plan จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงเพราะมีสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการจัดพอร์ตแบบเชิงกลยุทธ์ และเป็นหน้าที่ผู้จัดการกองทุนต้องเป็นผู้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละช่วง และจะมีการทบทวนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการจัดทำแผนกลยุทธ์จะมาจากผลตอบแทนตราสารต่างๆในอดีต และคาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคตมาหาสัดส่วนหรือน้ำหนักการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดในแต่ละช่วงความเสี่ยง” นายศรชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ กองทุนจะใช้เกณฑ์มาตรฐานหรือตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของกองทุนตามที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินตราต่างประเทศปรับด้วยต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ในช่วงระยะเวลาที่คำนวณผลตอบแทนของตัวชี้วัดตามสัดส่วนการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงเฉพาะดอลล่าร์/บาท เพื่อคำนวณผลตอบแทนเป็นสกุลเงินบาท ณ วันที่คำนวณผลตอบแทน โดยทั้ง 3 กองทุนจะมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง สำหรับผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCBAM Call Center โทร.02-777-7777 กด 0 กด 6

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413366357

ดอลลาร์ร่วงหลังรายงานการจ้างงานสหรัฐอ่อนแอ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2555 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.07/31.09 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ผ7/9) ที่ 31.21/31.22 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามเงินสกุลหลัก ภายหลังจากที่มีการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ต่ำกว่าที่คาดของสหรัฐในวันศุกร์ที่ผ่านมา (7/9) โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 96,000 ตำแหน่ง จากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 125,000 ตำแหน่ง ซึ่งปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน จากรายงานดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อพยายามลดต้นทุนการกู้ยืมและกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 12-13 กันยายนนี้
อย่างไรก็ตามอัตราการว่างงานของสหรัฐ กลับลดลงสู่ระดับ 8.1% จาก 8.3% ในเดือนกรกฎาคม ทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างจำกัด ขณะเดียวกันตัวเลขการจ้างงานได้กดดันดอลลาร์ และหนุนราคาทองให้สูงขึ้นกว่า 2% และพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนในท้ายตลาดวันศุกร์ที่ 1741.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปริมาณการซื้อขายวันนี้มีพอสมควร ทั้งนี้ค่าเงินบาทมีกรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ระหว่าง 3106-31.09 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 31.08/09 บาท/ดอลลาร์
ในขณะที่ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.2787/1.2789 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7/9) ที่ระดับ 1.2684/1.2688 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินยูโรได้มีการปรับตัวขึ้นหลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประกาศว่าอีซีบีพร้อมที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซน อาทิเช่น สเปนและอิตาลีเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม โดยจะเน้นไปที่พันธบัตรระยะสั้น 1-3 ปีและไม่จำกัดจำนวน จากรายงานดังกล่าวได้สร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุน เพราะนายดรากีได้ทำตามสัญญาที่ว่า "จะทำทุกอย่างที่ทำได้" เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินยูโรไว้ ทั้งนี้ค่าเงินยูโรทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดหลังจากที่ไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนท้ายตลาดวันศุกร์หลังจากที่มีรายงานการจ้างงานของสหรัฐที่ชะลอตัวลงมากในเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตลาดรอดูการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีในวันที่ 12 กันยายนนี้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยต่อสนธิสัญญาจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพ (ESM) และสนธิสัญญากำหนดกฎเกณฑ์ด้านงบประมาณ เพื่อเป็นเครื่องมือใหม่ในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยูโรโซน ทั้งนี้จากผลสำรวจของรอยเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายคาดการณ์ว่าศาลสูงสุดเยอรมนีจะมีคำวินิจฉัยเชิงบวกต่อสนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับ แต่เชื่อว่าศาลจะกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดเพื่อจำกัดความสามารถของรัฐบาลเยอรมนีในการให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในอนาคต ทั้งนี้ค่าเงินยูโรมีกรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ระหว่าง 1.2777-1.2781 ดอลลาร์/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.2779/80 ดอลลาร์/ยูโร
ขณะที่ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเปิดตลาดที่ระดับ 78.19/22 เยน/ดอลลาร์ จากระดับปิดตลาดเม่อวันอังคารที่ 78.94/96 เยน/ดอลลาร์ เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะออก QE3 ส่งผลให้ความต้องการสกุลเงินปลอดภัยมีสูงขึ้น ทั้งนี้เยนมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างที่ 78.15/78.33 เยน/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 78.28/30 เยน/ดอลลาร์
ในสัปดาห์นี้ตลาดรอติดตามการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ เปิดเผยดัชนีการจ้างงานเดือน ส.ค. (10/9), เปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือน ก.ค. (11/9), เปิดเผยข้อมูลสต๊อกสินค้าภาคค้าส่งเดือน ก.ค. (12/9), เปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือน ส.ค., คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันแรก, รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (13/9), เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ส.ค., คณกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดประกาศมติการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน, เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ส.ค. (14/9) , เปิดเผยยอดค้าปลีกเดือน ส.ค.
อัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +6.6/6.9 สตางค์/ดอลลาณ์ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +3.5/5.0 สตางค์/ดอลลาร์

www.matichon.co.th

การพัฒนาตลาดการเงิน

วัตถุประสงค์ของการพัฒนาตลาดการเงิน
ตลาดการเงินเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น เป็นแหล่งที่ผู้มีเงินเหลือและผู้ที่ต้องการเงินมาพบและตกลงกู้ยืม หรือซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารรูปแบบต่างๆ ระหว่างกัน ดังนั้น การพัฒนาตลาดการเงินจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตลาดการเงินสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ตลาดการเงินที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีความลึกและความกว้าง กล่าวคือ มีผู้ออกตราสาร (supply side) ที่หลากหลาย ทำให้มีสินค้าให้เลือกจำนวนมากและมีความเสี่ยงในด้านเครดิตที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุน (demand side) จำนวนมากและหลากหลายประเภทที่จะทำให้มีความต้องการผลตอบแทนและความเสี่ยงในลักษณะที่แตกต่างกัน ผู้ออกตราสารและนักลงทุนหลากหลายประเภท ทำให้มีมุมมองต่อตลาดหลายทิศทาง จึงทำให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมาก ตลาดจึงมีความคล่องตัว และสามารถรองรับการทำธุรกรรมปริมาณมากได้โดยไม่กระทบกับราคา ลักษณะตลาดการเงินเช่นว่านี้ถือว่ามีสภาพคล่องสูง เพราะตราสารสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้โดยเร็วในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ การมีระบบการชำระราคาและส่งมอบที่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ
ในการทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำ
นอกจากนี้ ตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงจะช่วยให้ ธปท. สามารถใช้ตลาดการเงิน
เป็นช่องทางในการดำเนินนโยบายการเงิน และส่งผ่านนโยบายดังกล่าวไปยังระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อดูแลให้อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยเหตุนี้ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพัฒนาตลาดการเงินเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กล่าวข้างต้น
องค์ประกอบของตลาดการเงิน
ตลาดการเงินสามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์และรูปแบบการทำธุรกรรมได้หลายส่วน โดยแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านอัตราผลตอบแทน ผู้เล่น ปริมาณธุรกรรม และระดับการพัฒนา
1. ตลาดเงินตราต่างประเทศ คือตลาดสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยทั่วไปอยู่ในลักษณะ Over-the-Counter (OTC) ซึ่งผู้ดำเนินการจะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยและได้รับอนุญาตจาก ธปท. ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ทั้งไทยและต่างประเทศ
เป็นผู้เล่นที่สำคัญในตลาดนี้
ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไทยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 กฎกระทรวง ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2497) รวมถึงประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และหนังสือเวียนเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินที่เกี่ยวข้อง
โดยทั่วไปประเภทของธุรกรรมเงินตราต่างประเทศประกอบด้วยธุรกรรมทันที (spot) ธุรกรรมล่วงหน้า (forward) ธุรกรรมสวอปเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange swap) และธุรกรรมอนุพันธ์เงินตราต่างประเทศ เช่น FX Options และ Cross Currency Swaps เครื่องมือการเงินของตลาดเงินตราต่างประเทศ เช่น FX Swap มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเครื่องมือการเงิน
ในตลาดเงิน เช่น Interbank และ Repo เพราะต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกู้ยืมระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตรา แลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Managed Float) ซึ่งค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ กำหนดโดยกลไกตลาดตามอุปสงค์และอุปทานในตลาดเงินตราต่างประเทศ ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
2. ตลาดเงิน เป็นตลาดสำหรับการกู้ยืมและการลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เพื่อบริหาร
สภาพคล่องในช่วงสั้นๆ ธุรกรรมในตลาดเงินส่วนใหญ่ ได้แก่ ธุรกรรมการกู้ยืมแบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ระหว่างธนาคาร การซื้อ-ขายตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ธปท.ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วแลกเงิน และการทำธุรกรรมซื้อคืน (Repurchase Agreement หรือ Repo)ซึ่งแบ่งเป็นธุรกรรมที่ ธปท. ทำกับสถาบันการเงินที่เป็น Primary Dealers เรียกว่าธุรกรรม Bilateral Repo และธุรกรรมที่ภาคเอกชนทำระหว่างกันเอง เรียกว่าธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน หรือ Private Repo เป็นต้น โดยในปี 2547 ธปท. ได้ผลักดันการสร้างเส้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงการกู้ยืมระหว่างธนาคารระยะสั้น หรือ BIBOR (Bangkok Interbank Offered Rates) สำหรับใช้เป็นอัตราอ้างอิงในการทำธุรกรรมการกู้ยืมเงินในตลาดเงิน รวมทั้งเป็นอัตราอ้างอิงสำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate note) ด้วย นอกเหนือจากธนาคารพาณิชย์ ผู้เล่นในตลาดเงินอื่นๆ ได้แก่ สถาบันการเงินอื่นๆ บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
3. ตลาดตราสารหนี้ คือตลาดสำหรับการระดมทุนและการออมในระยะที่ยาวกว่า 1 ปี โดยการออกตราสารหนี้ (Debt Securities หรือ Bonds) ผู้ออกตราสารหนี้และผู้ลงทุนจะมีความสัมพันธ์กันในฐานะลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยตามกำหนดเวลาและอัตราที่ชัดเจน และได้รับเงินต้นคืนเมื่อตราสารหนี้นั้นครบกำหนด
ผู้ออกตราสารหนี้ขายเพื่อระดมทุน (Issuer) ถือว่าเป็นการขายตราสารหนี้ในตลาดแรก (Primary Market) ส่วนการซื้อตราสารหนี้ที่มีการออกขายเพื่อการลงทุนหรือการออม (Investment) ทำได้โดยการซื้อจากผู้ออกโดยตรงในตลาดแรก หรือซื้อต่อจากนักลงทุนอื่นๆ ที่เรียกว่าเป็นการซื้อตราสารหนี้ในตลาดรอง (Secondary Market)
ตราสารหนี้สามารถแบ่งตามลักษณะของผู้ออก ได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยสามารถออกเป็นตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่น หรือสกุลเงินต่างประเทศก็ได้ นอกจากนั้น ผู้ออกยังสามารถเลือกวิธีการจ่ายดอกเบี้ยได้หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Bond) อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond) โดยอ้างอิงกับดัชนี (Index Linked Bond) หรืออิงกับอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) เป็นต้น ทั้งนี้ มีปัจจัยที่ใช้ประกอบการพิจารณาลักษณะของตราสารหนี้ที่จะออกหลายประการ เช่น ภาวะอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ความต้องการของนักลงทุน วัตถุประสงค์ในการระดมทุน และ net cash flow ที่ผู้ออกคาดว่าจะได้รับในอนาคต เป็นต้น ฐานของผู้เล่นในตลาดตราสารหนี้จะค่อนข้างหลากหลายกว่าผู้เล่นในตลาดเงิน นอกจากสถาบันการเงิน สถาบัน และองค์กรขนาดใหญ่แล้ว ยังรวมถึงนิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่เป็น
ผู้ออมทั่วไป (นักลงทุนรายย่อย) ด้วย รัฐบาลและ ธปท. ได้มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings bond) แยกจากตราสารหนี้ที่ออกเพื่อขายแก่สถาบันการเงินและสถาบันขนาดใหญ่ เพื่อจำหน่ายให้กับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการออมหรือการลงทุนระยะกลางและระยะยาวโดยเฉพาะ โดยจัดจำหน่ายผ่านสาขาธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อได้โดยสะดวก และทั่วถึงมากขึ้นด้วย
4. ตลาดอนุพันธ์ เป็นตลาดตราสารการเงินที่มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าตลาดเงิน หรือตลาดเงินตราต่างประเทศ โดยตราสารอนุพันธ์จะมีสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying asset) เป็นตราสารการเงิน ธุรกรรม ราคาสินค้า ฯลฯ แล้วแต่คู่กรณีจะตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน ซึ่งตราสารอนุพันธ์ทางการเงินใช้เป็นเครื่องมือสัญญาป้องกัน/บริหารความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาหลักทรัพย์/สินค้า โดยราคาของอนุพันธ์ขึ้นกับระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิงที่ใช้ เช่น
ตราสารหนี้ ตราสารทุน อัตราแลกเปลี่ยน และสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจุบันสามารถแบ่งประเภทตลาดออกเป็น ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures market) และตลาดออปชัน (Option market) สำหรับตลาดตราสารหนี้ผู้ที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยอาจเลือกวิธีการป้องกันความเสี่ยงจากการปรับสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยได้โดยการทำธุรกรรม Interest Rate Swap (IRS) เพื่อแลกอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่รับจากพันธบัตรเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวแทน สำหรับอนุพันธ์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการจัดตั้งบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TFEX) เมื่อปี 2547 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 โดยในปี 2549 TFEX ได้มีการออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดัชนี SET50 (SET50 Index Futures) ต่อมาในปี 2550 ได้ออกออปชันของดัชนี SET50 (SET50 Index Options) ในส่วนของฟิวเจอร์สและออปชันของสินค้าอ้างอิงประเภทอื่นๆ นั้น TFEX ได้มีแผนที่จะดำเนินการต่อไป สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tfex.co.th สำหรับในเรื่องของสินค้าเกษตรนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับการ ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการวางนโยบายการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับดูแล โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.afet.or.th
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมตลาดการเงินของไทยยังมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินอื่นๆ ไม่สามารถพัฒนาในเชิงลึกได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมมือกันในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อลดอุปสรรคในการพัฒนาตลาดของเครื่องมือบริหารความเสี่ยง รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เล่นประเภทต่างๆ ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ซึ่งมีความซับซ้อน การบริหารจัดการ และกฎเกณฑ์กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสามารถโอนถ่ายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
5. ตลาดตราสารทุน เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการระดมทุนของภาคธุรกิจในระยะยาวโดยการออกตราสารทุน ผู้ถือตราสารทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับผู้ออกตราสาร ซึ่ง
ผู้ลงทุนในตราสารทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) โดยสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยตรง ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ http://www.sec.or.th และ http://www.set.or.th การเปรียบเทียบปริมาณธุรกรรมในแต่ละตลาดระหว่างปี 2545 – 2550 แสดงว่าตลาดเงินและตลาดเงินตราต่างประเทศมีสัดส่วนธุรกรรมสูงที่สุด
แนวทางของการพัฒนาตลาดการเงินไทย
ในปัจจุบันตลาดการเงินมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารต่างชาติ สภาวิชาชีพบัญชี และ ธปท. รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ/นักวิชาการ และผู้ร่วมตลาดอื่นๆ ได้ร่วมมือกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อรองรับ และสนับสนุนการพัฒนาตลาดเช่น ระบบการชำระราคาและส่งมอบ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินให้เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกรรม การส่งเสริมการทำธุรกรรมประเภทใหม่ๆ ตามความต้องการของผู้ร่วมตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การแก้ไขแนวทางการจัดเก็บภาษีให้ยุติธรรม และไม่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกรรม การจัดทำมาตรฐานบัญชี การผลักดันการทำ Codes of Conduct และมาตรฐานในการทำธุรกรรมของผู้ร่วมตลาด การจัดตั้งสมาคม หรือชมรมของผู้ร่วมตลาด เพื่อทำหน้าที่ศูนย์กลางการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และกำหนดแนวทางปฏิบัติมาตรฐานต่างๆ การจัดอบรมให้ความรู้ และการหารือกับผู้ร่วมตลาดทุกฝ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสม่ำเสมอ โดยการดำเนินการในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องโดยอาจเป็นการกำหนดให้เป็นแผนแม่บทหรือแผนงานกลยุทธ์ภายใต้คณะกรรมการหรือคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้น หรืออาจหารือเป็นการเฉพาะกิจ ซึ่งการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนทำให้สามารถเข้าใจปัญหาอุปสรรคและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงประเด็น โดยแนวทางในการพัฒนามุ่งหวังให้เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของตลาดการเงิน เพื่อให้ตลาดการเงินของไทยสามารถรองรับกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันการณ์และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาตลาดการเงินและตลาดทุนของไทย โดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการพัฒนาตลาดทุนไทยซึ่งมี รมว.กระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุน และมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในด้านต่างๆ www.bot.or.th

การกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน

ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 ซึ่งหมายความว่า ธปท. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับการดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเสถียรภาพด้านอื่นๆ อาทิ ภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน ภาคสถาบันการเงิน และตลาดการเงินด้วย
เป้าหมายเงินเฟ้อตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 จนถึงปี 2551
1)ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core inflation) เป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบาย
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ที่หักราคาสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานออก โดยมีเหตุผลมาจากการที่ราคาสินค้าในกลุ่มที่หักออกดังกล่าว อาทิ ข้าว ผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้มและน้ำมันเชื้อเพลิง มีความผันผวนมากในระยะสั้นอันเกิดจากปัจจัยภายนอกที่อยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของนโยบายการเงิน ดังนั้น หากยังคงรวมอยู่ในเป้าหมายอาจจะทำให้ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยครั้งและอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้เลวลงไปอีกได้ เช่น กรณีที่ราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงานสูงขึ้น ซึ่งส่งผลบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนอยู่แล้ว หากมีการดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง จะมีผลทำให้การอุปโภคบริโภคยิ่งลดลง และกลายเป็นการซ้ำเติมการขยายตัวของเศรษฐกิจให้เลวลงมากขึ้น
กล่าวโดยสรุปคือ การหักราคาสินค้าในกลุ่มดังกล่าวออกจะช่วยลดความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อ สะท้อนแรงกดดันด้านราคาที่แท้จริง (Underlying inflation) ที่มาจากด้านอุปสงค์หรือส่วนของ Second-round effect ได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน ความผันผวนที่น้อยลงช่วยลดการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยเกินความจำเป็น อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะหักราคาสินค้าหมวดอาหารสดและพลังงานออกก็ตาม แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาในภาพรวม (General price level) ก็ยังสามารถสะท้อนได้จากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) นอกจากนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่าในระยะยาวอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเคลื่อนไหวไปด้วยกัน แม้ว่าในระยะสั้นอาจมีความแตกต่างกันบ้าง ดังนั้น การดูแลรักษาเสถียรภาพด้านราคาโดยการใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นเป้าหมาย จะเท่ากับเป็นการดูแลรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปด้วย ซึ่งหมายถึงการดูแลให้ราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพของประชาชนมีเสถียรภาพในระยะยาว
2) ใช้ช่วงร้อยละ 0-3.5 ต่อปี เป็นเป้าหมาย โดยคำนึงถึง
ความสามารถในการปรับตัวของประชาชนในกลุ่มต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณอายุที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากเป็นหลัก กลุ่มผู้มีเงินเดือนประจำ รวมไปถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่มีอำนาจต่อรองค่าจ้างค่อนข้างต่ำ เพราะอาจได้รับผลกระทบหากระดับของเงินเฟ้อที่เป็นเป้าหมายสูงเกินไป เนื่องจากรายได้มักจะเพิ่มขึ้นไม่ทันกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้อำนาจซื้อลดลง
ความสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งสำคัญของไทย เพราะการรักษาอัตราเงินเฟ้อของไทยให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งจะช่วยรักษาความสามารถแข่งขันด้านราคาในการส่งออกของประเทศไทยได้ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2542 – 2551) อัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่งสำคัญของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.8
3) ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสเป็นเป้าหมาย
เนื่องจากโดยปกติ อัตราเงินเฟ้อรายเดือนมักจะมีความผันผวนสูง การเฉลี่ยเป็นรายไตรมาสจึงช่วยให้เห็นพัฒนาการของเงินเฟ้อได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ ธปท. และประชาชนสามารถตรวจสอบได้เร็วกว่าการเฉลี่ยเป็นรายปีหรือระยะเวลาที่นานกว่านั้น หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะหลุดจากเป้าหมาย รวมทั้งยังสอดคล้องกับประมาณการจากแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาครายไตรมาสที่คณะกรรมการฯ ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการกำหนดนโยบาย
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีความเห็นว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ร้อยละ 0-3.5 มีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของไทย และการที่กำหนดเป็นช่วง (Range) และมีขนาดกว้างพอสมควร ก็เพื่อที่จะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ (Temporary economic shocks) ซึ่งช่วยลดความจำเป็นที่คณะกรรมการฯ จะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินบ่อยครั้ง ซึ่งหมายถึงการลดความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2552
พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 กำหนดกรอบในการดำเนินงานด้านนโยบายการเงินของประเทศไว้อย่างชัดเจนในมาตราที่ 28/8 โดยระบุว่า “ภายในเดือนธันวาคมของทุกปี ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินจัดทำเป้าหมายของนโยบายการเงินในปีถัดไป เพื่อเป็นแนวทางให้แก่รัฐและ ธปท. ในการดำเนินการใด ๆ เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพด้านราคา โดยทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรี และให้รัฐมนตรีเสนอเป้าหมายของนโยบายการเงินที่ได้ทำความตกลงร่วมนั้นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
ด้วยเหตุนี้ กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้พิจารณาทบทวนความเหมาะสมของเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2552 ร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงประเด็นสำคัญต่าง ๆ และได้เห็นชอบร่วมกันที่จะเสนอเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่โดย
(1) ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสเช่นเดิมเพื่อสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย
(2) ปรับช่วงของเป้าหมายให้แคบลงไว้ที่ร้อยละ 0.5-3.0 ต่อปี ทั้งนี้ ได้ปรับขอบล่างให้สูงกว่าศูนย์เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาวะเงินฝืด ขณะเดียวกันปรับขอบบนลงให้เท่ากับที่ปรับขอบล่างขึ้น เพื่อไม่ส่งสัญญาณว่าจุดยืนของนโยบายการเงินจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552
เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2553
กนง.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบร่วมกันที่จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ 0.5-3.0 ต่อปี เป็นเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2553 ต่อเนื่องจากปี 2552 โดยเห็นว่ามีความเหมาะสมและจะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพได้ดี เนื่องจาก
(1) อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและไม่ผันผวน (Low and stable) จะมีส่วนสำคัญยิ่งที่ช่วยเอื้อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
(2) เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่วางไว้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของไทย
(3) เป้าหมายเงินเฟ้อที่ต่ำช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจที่จะสามารถตัดสินใจวางแผนบริโภคและลงทุนได้อย่างมั่นใจ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2552
เป้าหมายเงินเฟ้อปี 2554
กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบร่วมกันที่จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ 0.5 -3.0 ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยเห็นว่ายังคงเป็นเป้าหมายที่มีความเหมาะสมในการช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553
กรณีที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมาย
ข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำหนดไว้ว่า “กรณีที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมาย ตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้ กนง. ชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร”
www.bot.or.th

เป้าหมายและหน้าที่ทางการเงิน

วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการบริหารการเงิน
โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าวัตถุประสงค์ของการบริหารการเงิน คือ การแสวงหากำไรสูงสุดหรือผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด (profit maximization) แต่แท้ที่จริงแล้ววัตถุประสงค์นี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่ดีเสมอไป เนื่องจากการแสวงหากำไรสูงสุดนั้นไม่ได้คำนึงถึงความพยายามที่ได้ทำลงไปในรูปของการเพิ่มเงินลงทุนหรือเพิ่มจำนวนหุ้นสามัญ นั่นคือไม่ได้คำนึงถึงความมีประสิทธิภาพ (efficiency) ในการบริหาร
ดังนั้นเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการบริหารการเงินก็คือ การแสวงหากำไรสูงสุดภายใต้ความมีประสิทธิภาพซึ่งหมายความว่า มีการใช้ความพยายามน้อยที่สุด แต่ได้รับผลตอบแทนมากที่สุด เมื่อเทียบกับกำไรและเงินลงทุนที่ธุรกิจได้รับ ซึ่งเรียกว่ากำไรต่อความพยายามสูงสุด โดยที่จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงทางธุรกิจ (business risk) และระยะเวลาของการได้รับผลตอบแทนด้วย ซึ่งก็คือ เป้าหมายในการแสวงหาความมั่งคั่งสูงสุด (wealth maximization หรือ maximize share holder wealth) คือ การแสวงหาความมั่งคั่งขั้นสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ
สรุปแล้วเป้าหมายในการบริหารการเงิน คือ การแสวงหาความมั่งคั่งสูงสุด นั่นคือ การมีกำไรสูงสุดภายใต้ความมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงภัยทางธุรกิจที่ยอมรับได้และภายในระยะเวลาของการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมที่สุด
การแสวงหาความมั่งคั่งสูงสุด หมายถึง ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นสามัญซึ่งเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง โดยวัดได้จากราคาตลาดของหุ้นสามัญที่สูงขึ้น ดังนั้นเป้าหมายในการบริหารการเงินก็คือ การแสวงหาความมั่งคั่งสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญหรือการทำให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญมีราคาสูงที่สุดนั่นเอง
หน้าที่ทางการเงิน
เพื่อให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายในการบริหารการเงิน คือ มีความมั่งคั่งสูงสุด จะต้องมีการจัดการที่ดีในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การผลิต การตลาด การบัญชี บุคลากร และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหน้าที่หนึ่งที่มีความสำคัญคือหน้าที่ทางการเงินนั่นเอง
หน้าที่ทางการเงิน (financial function) ประกอบด้วยหน้าที่หลัก ๆ คือ
1. หน้าที่ในการจัดหาเงินทุน
2. หน้าที่ในการจัดสรรเงินทุน
3. การตัดสินใจในนโยบายเงินปันผล

การจัดหาเงินทุน
ผู้จัดการทางการเงินมีหน้าที่ต้องตัดสินใจว่า ควรจะจัดหาเงินทุนมาจากแหล่งใดและจะจัดหาด้วยสัดส่วนเท่าใด จึงจะทำให้ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนทางการเงิน (financial cost) ต่ำที่สุด ในขณะเดียวกันก็จะต้องไม่เกิดความเสี่ยงภัยทางการเงิน (financial risk) มากจนเกินไป
การจัดหาเงินสามารถจัดหาได้จาก 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ
1. แหล่งเจ้าหนี้หรือหนี้สิน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. หนี้สินระยะสั้น ได้แก่ การซื้อเชื่อ การเบิกเกินบัญชี ตั๋วเงินจ่าย รายได้รับล่วงหน้า ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น
2. หนี้ระยะปานกลาง ได้แก่ การเช่าทรัพย์สิน การซื้อผ่อนชำระ เป็นต้น
3. หนี้สินระยะยาว ได้แก่ การกู้ยืมระยะยาว การออกจำหน่ายหุ้นกู้หรือพันธบัตร เป็นต้น
ในการจัดหาเงินจากแหล่งหนี้สินนี้จะมี financial risk สูง แต่มี financial cost ต่ำ (มีความเสี่ยงทางการเงินสูงแต่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ)
2. แหล่งเจ้าของกิจการ ได้แก่ การออกจำหน่ายหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ และกำไรสะสม ซึ่งการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเจ้าของกิจการจะเสียต้นทุนทางการเงิน (financial cost) สูง แต่จะมีความเสี่ยงทางการเงิน (financial risk) ต่ำส่วนการพิจารณาสัดส่วนการจัดหาเงินทุนว่าควรจะจัดหาจากแหล่งต่าง ๆ ในสัดส่วนเท่าใด เพื่อให้การจัดหาเงินทุนเป็นไปอย่างเหมาะสม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการชอบความเสี่ยง (risk preference) ของผู้บริหารทางการเงินแต่ละคนว่าชอบความเสี่ยงมากหรือน้อย
ถ้าหากชอบความเสี่ยงมากโครงสร้างเงินทุนก็จะประกอบไปด้วยสัดส่วนของหนี้สินมากกว่าส่วนของเจ้าของ แต่ถ้าไม่ชอบความเสี่ยงโครงสร้างเงินทุนก็จะประกอบไปด้วยสัดส่วนของส่วนของเจ้าของมากกว่าหนี้สิน การตัดสินใจจัดหาเงินทุนจึงเป็นตัวกำหนดต้นทุนของเงินทุน (cost of capital) และความเสี่ยงทางการเงิน (financial risk) หรือความเสี่ยงที่อาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้เมื่อถึงกำหนดชำระ ซึ่งแหล่งเงินทุนแต่ละแหล่งจะมีคุณลักษณะแตกต่างกันดังนี้
- แหล่งเงินทุนระยะสั้น โดยปกติจะเสียต้นทุนของการจัดหาเงินต่ำ เนื่องจากเจ้าหนี้รับภาระความเสี่ยงในระยะเวลาไม่นานนัก จึงสามารถรับอัตราผลตอบแทนที่ต่ำได้ แต่ความเสี่ยงภัยในการหาเงินจะสูง เนื่องจากผู้จัดหาเงินมีเวลาสั้นในการหาเงินมาชำระหนี้
- แหล่งเงินทุนระยะยาว โดยปกติจะเสีย ต้นทุนของการจัดหาเงินสูง เนื่องจากมีระยะเวลานาน เจ้าหนี้จะรับภาระความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงต้องเรียกร้องดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพื่อให้คุ้มกับความเสี่ยงที่เจ้าหนี้ได้รับ แต่ความเสี่ยงภัยในการหาเงินต่ำ เนื่องจากผู้จัดหาเงินมีเวลานานในการหาเงินมาชำระหนี้ในการเปรียบเทียบแหล่งของการจัดหาเงินทุนโดยละเอียดว่าแหล่งใดมีความเสี่ยงภัยสูงหรือต่ำกว่า และต้นทุนการจัดหาสูงหรือต่ำกว่า
ก็อาจเปรียบเทียบจากการเรียงลำดับการจัดหาเงินทุนจากงบดุลทางด้านขวาหรือด้านหนี้สินและทุนซึ่งโดยปกติจะเรียงลำดับจากแหล่งเงินทุนที่มีระยะสั้นที่สุดไปหาแหล่งที่มีระยะยาวที่สุด หรือเรียงจากความเสี่ยงสูงที่สุดไปหาความเสี่ยงต่ำที่สุดดังนี้
ผู้จัดการทางการเงินที่เลือกจัดหาเงินทุนจากแหล่งระยะสั้นในสัดส่วนที่มากกว่าจะเสียต้นทุนในการจัดหาเงินทุนที่ต่ำแต่มีความเสี่ยงภัยสูง ตรงข้ามกับผู้จัดการทางการเงินที่จัดหาเงินทุนจากแหล่งระยะยาวในสัดส่วนที่มากกว่าจะเสียต้นทุนในการจัดหาเงินทุนสูงแต่ความเสี่ยงภัยจะลดลง
การจัดสรรเงินทุน
ผู้จัดการทางการเงินจะต้องตัดสินใจว่าควรจะนำเงินทุนที่ได้มาไปลงทุนสินทรัพย์อะไรบ้างและในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งถ้าหากเป็นการลงทุนในเงินสดก็จะไม่ก่อให้เกิดรายได้ แต่จะก่อให้เกิดความคล่องตัวในการชำระหนี้ แต่ถ้าหากเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรก็จะก่อให้เกิดรายได้สูง แต่ความคล่องตัวหรือสภาพคล่องในการเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อการชำระหนี้ต่ำสุดนั่นคือ เมื่อดูจากการจัดสรรเงินทุนในงบดุลทางด้านซ้าย จะเห็นว่าทรัพย์สินหมุนเวียนจะมีสภาพคล่องที่สูงแต่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ส่วนทรัพย์สินถาวรจะมีสภาพคล่องที่ต่ำแต่จะให้ผลตอบแทนที่สูง (สภาพคล่อง หมายถึง ความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์ให้เป็นเงินสด เพื่อนำมาชำระหนี้ให้เร็วที่สุด)
ในการจัดสรรเงินทุนนั้นจะส่งผลกระทบต่อหลายอย่างดังนี้
- ขนาดของธุรกิจ (size of firm)
- สภาพคล่องของธุรกิจ (liquidity)
- กำไรของกิจการ (return)
- ขนาดของกำไร (size of profit)
- ความเสี่ยงของธุรกิจ (business risk)
การตัดสินใจในนโยบายเงินปันผล
นโยบายเงินปันผลมีความสัมพันธ์กับการจัดหาเงินทุนและการจัดสรรเงินทุน เพราะการจ่ายเงินปันผลคือการนำเอากำไรสุทธิที่สะสมอยู่ในรูปของกำไรสะสมมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่เจ้าของกิจการ และส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญสูงขึ้นด้วย ในทางตรงกันข้ามถ้ากิจการไม่มีการจ่ายเงินปันผล ราคาตลาดของหุ้นสามัญจะลดลง แต่กิจการก็สามารถที่จะนำเงินกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อ (reinvestment) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ในการจัดหาเงินทุนของผู้จัดการทางการเงินอีกทางหนึ่ง ซึ่งการที่กิจการจะประกาศจ่ายเงินปันผลหรือไม่และจะจ่ายในอัตราเท่าใดนั้น ก็จะต้องคำนึงถึงความต้องการใช้เงินทุนของกิจการในขณะนั้นหรือในอนาคตด้วย
ข้อควรจำ จากงบแสดงฐานะทางการเงิน (งบดุล) สรุปได้ว่า
1. ด้านทรัพย์สิน (งบดุลด้านซ้ายมือ) แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรเงินทุนของกิจการว่าได้ลงทุนไปในสินทรัพย์ใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าไร
2. ด้านหนี้สินและทุน (งบดุลด้านขวามือ) แสดงให้เห็นถึงการจัดหาเงินทุนของกิจการว่าได้จัดหาเงินทุนจากแหล่งใดบ้าง ในสัดส่วนเท่าไร
ผู้จัดการทางการเงินที่มีความสามารถจะมีนโยบายในการจัดหาเงินทุน การจัดสรรเงินทุน ตลอดจนนโยบายเงินปันผลที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้กิจการมีกำไรต่อหุ้นสูงสุด มีความเสี่ยงภัยน้อยที่สุด มีระยะเวลาของการเริ่มได้รับผลตอบแทนเร็วที่สุด และราคาตลาดของหุ้นสามัญของกิจการสูงที่สุด ซึ่งจะก่อให้เกิดความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นสูงที่สุด นั่นคือกิจการสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
ค้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2553. จากเว็บไซต์ http://www.sheetram.com/mb203.asp

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ ขณะจับตาประชุมเฟด,ศาลเยอรมนีตัดสินกองทุน ESM

ตลาดหุ้นเอเชียในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายในขณะที่จับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ในสัปดาห์นี้ ดัชนี MSCI Asia Pacific Index ปรับตัวลง 0.5% แตะที่ 118.61 จุด ณ เวลา 10.17 น.ตามเวลาโตเกียวในวันนี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 8,811.33 จุด ลดลง 58.04 จุด, -0.65% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 1,920.46 จุด ลดลง 4.24 จุด, -0.22% ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,333.70 จุด ลดลง 0.10 จุด, 0.00% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,618.38 จุด ลดลง 2.66 จุด ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 19,757.37 จุด ลดลง 69.80 จุด, -0.35% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,127.52 จุด ลดลง 7.37 จุด, -0.35% อย่างไรก็ตาม ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,497.23 จุด เพิ่มขึ้น 14.49 จุด, +0.19%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในขณะที่จับตาดูศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีจะมีคำวินิจฉัยต่อกรณีการจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยูโรโซน ในวันพุธนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 12-13 ก.ย. ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 หรือ QE3 หลังจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 96,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่ง
หุ้นแอลจี อิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลง 0.4% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เช้านี้ ขณะที่หุ้นโตโยต้า มอเตอร์ ร่วงลง 2.2% หลังจากยอดขายรถยนต์ของโตโยต้าในประเทศจีนอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์
http://www.moneyandbanking.co.th

11 ก.ย. 2555

บลจ.กรุงไทยขายกองทุนตราสารหนี้ตปท.6ด.ชูยิลด์3.10%

นายสมชัย บุญนำศิริกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ บี 50 ( KTSUPB 50 ) เสนอขาย ระหว่างวันที่ 22 - 28 สิงหาคม 2555อายุ 6 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย เงินฝากประจำ The Commercial bank of Qatar,เงินฝากประจำ Abu Dhabi Commercial Bank ,เงินฝากประจำ Bank of China สาขามาเก๊าและเงินฝาก / ตราสารการเงินระยะสั้นธนาคารพาณิชย์ไทย / ตราสารการเงินภาครัฐไทย ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.10% ต่อปี โดยเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นายสมชัย กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตราสารหนี้ ว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยมีแรงขายทำกำไรในตราสารระยะกลางถึงยาว ทำให้อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น 7-15 basis points ขณะที่ตราสารภาครัฐระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ทรงตัว ซื้อขายกันที่ระดับ 2.85 – 3.03% ต่อปี โดยมีปัจจัยจากตลาดการเงินระหว่างประเทศที่ประเมินว่า คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรปจะมีการเข้าซื้อพันธบัตรภาครัฐของกลุ่มประเทศยุโรปที่มีปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มเติม และล่าสุดผู้นำเยอรมัน สนับสนุนการดำรงอยู่ของกลุ่มประชาคมยุโรป ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่ทยอยประกาศ มีทิศทางที่ดีขึ้น และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จึงทำให้นักลงทุนมีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น
ส่วนตลาดอัตราแลกเปลี่ยน มีการเคลื่อนไหวในช่วงแคบๆ ทั้งค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ค่าเงินยูโร และค่าเงินบาท โดยในประเทศ ให้จับตาดูตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ และตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/2555 ซึ่งจะประกาศในสัปดาห์นี้ ว่าจะมีทิศทางชะลอตัวเช่นเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาคหรือไม่ เชื่อว่าจะมีผลต่อค่าเงินบาทและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนสวอปข้ามสกุลเงินบาทและเงินตราต่างประเทศในรอบสัปดาห์ทรงตัวเช่นกัน จึงทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินบาทหลังปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างทรงตัว ดังนั้น การลงทุนในช่วงเวลานี้ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะล็อคผลตอบแทนไว้
www.stockwave.in.th/hot-news/26831-6310.html

วาณิชธนกิจยุโรปชี้วิกฤตหนี้ยูโรโซนช็อก'จีดีพี'ไทยหาย 3%

"บาร์เคลย์"ชี้สมมติฐานวิกฤตหนี้ยูโรโซนช็อก จีดีพีไทยจะหายไป3%ระดับความรุนแรงคิดเป็น2ใน3ของความตกต่ำเคยเกิดวิกฤตเลห์แมนล้มช่วงปี2551-2552
บาร์เคลย์ วาณิชธนกิจชั้นนำของยุโรป ได้เผยแพร่ "อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ รีเสิร์ช" ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์แนวโน้มตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชีย จากการตั้งสมมุติฐานเศรษฐกิจยูโรโซนเกิดช็อกเข้าสู่ภาวะถดถอยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หมายถึงความเสี่ยงขาลงเกิดมากที่สุดกับตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย และคาดผลกระทบจากความตกต่ำของยุโรป จะส่งผลกระทบโดยรวมให้กับเอเชียมา
ทีมวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สตั้งสมมุติฐานที่ว่า หากเกิดภาวะช็อกในยูโรโซนไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากความตกต่ำในภูมิภาค ขณะที่ระดับความรุนแรงคิดเป็น 2 ใน 3 ของความตกต่ำเคยเกิดจากวิกฤตเลห์แมนล้มช่วงปี 2551-2552 ซึ่งช่วงเกิดวิกฤตการเงินครั้งนั้น การเติบโตของเอเชียหายไป 3.7% เงินเฟ้อดิ่งลง 7.3% ส่วนคาดการณ์จีดีพียูโรโซน คาดจะลดลงเกือบ 3% ในช่วง 3 ไตรมาสหน้า หรืออีก 9 เดือนข้างหน้า ซึ่งบวกกับราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง 40% คิดเป็นระดับความรุนแรง 2 ใน 3 ของช่วงเกิดวิกฤตปี 2551
หากปัญหาจีดีพียูโรโซนหายไปบวกปัญหาราคาน้ำมันโลกลดลง เกิดขึ้นพร้อมๆกัน คาดว่าทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุดช่วง 5-6 ไตรมาสหน้า ขณะที่ภาวะช็อกในยูโรโซนที่คาดหยุดไม่อยู่ ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทำให้คาดการณ์การเติบโตของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ลดลง 1.5% ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อลดลง 4% ก่อให้เกิดภาวะแวดล้อมเงินฝืดไม่รุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค กรณีที่วิกฤตยูโรโซนกระจายวงกว้าง จนทำให้ตลาดการเงินเกิดการบิดเบือน อย่างกรณีสเปนและอิตาลีไม่สามารถเข้าถึงตลาดเงิน หรือความเสี่ยงเกี่ยวโยงกับกรีซมีมากขึ้น ผลที่ตามมาที่เกิดกับเศรษฐกิจโลก และผลกระทบเกี่ยวเนื่องสำหรับเอเชีย อาจเลวร้ายกว่าที่ทีมงานบาร์เคลย์ตั้งสมมุติฐานไว้
งานวิเคราะห์ยังประเมินการเปิดรับความเสี่ยงจากยุโรปของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ซึ่งเกิดขึ้นจาก 3 ช่องทาง ทั้งการค้า การลงทุนและผลกระทบเกิดกับความเชื่อมั่น พร้อมเปรียบเทียบความอ่อนไหวกับตลาดเกิดใหม่ส่วนอื่นของโลก พบว่าพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มที่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย อ่อนไหวกับภาวะช็อกส่งผ่านมาจากยูโรโซนน้อยกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น
เมื่อแยกดูเป็นรายประเทศในเอเชีย พบว่าไม่น่าแปลกใจที่ประสบการณ์ของเอเชียที่จะได้รับจากวิกฤตยูโรโซนครั้งนี้ คล้ายคลึงกับที่เคยได้รับในช่วงปี2551-2552 และจากโมเดลการวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ บ่งชี้ผลกระทบที่ไทยและไต้หวันกับเกาหลีใต้จะได้รับรุนแรงปานกลาง คิดเป็นจีดีพีหายไป3% ตรงข้ามกับกลุ่มประเทศเอเชียอย่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย ซึ่งมีขนาดเล็กและเปิดกว้างมากที่สุด อีกทั้งเป็นเศรษฐกิจพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศ จะได้ผลกระทบรุนแรงมากกว่าในทันที โดยจีดีพีสิงคโปร์จะลดลง4.8%เทียบปีต่อปี และจีดีพีมาเลเซียจะลดลง4%เทียบปีต่อปี ขณะที่การเติบโตของกลุ่มเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้อย่างมากจากภายในประเทศ อย่างอินเดียและอินโดนีเซียจีดีพีจะหายไป0.4% และในจีนจีดีพีลดลง1.5%
ทีมงานบาร์เคลย์ระบุว่า จากรูปแบบวิเคราะห์ทั้งหมดข้างต้น บ่งบอกว่าเมื่อเอเชียรวมไทยเผชิญภาวะช็อกทั่วไปจากภายนอกภูมิภาค การเติบโตของเอเชียก็ลดลงทันที่ซึ่งเป็นสถานกรณ์เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งเอเชีย และแนวโน้มความตกต่ำจะเกิดขึ้นในเอเชียนั้น ปกติแล้วหลังเกิดภาวะช็อก จะใช้เวลา2-3ไตรมาสกว่าจะพ้นจุดต่ำสุดถึงจะฟื้นตัวได้ ส่วนการฟื้นตัวที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คล้ายคลึงกับภูมิภาคอื่นส่วนใหญ่ คือฟื้นตัวในรูปวีเชพ(V-shape)
ด้านรอยเตอร์ อ้างคำกล่าวของนายซู หมิน รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ในงานประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัมที่จีนว่า ว่าวิกฤติหนี้ยูโรโซนจะยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน นักลงทุนโดยทั่วไปคาดว่ายูโรโซน จะเผชิญความถดถอยปีนี้ เพราะล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤติ โดยการลุกลามของวิกฤติยุโรปจากแบบจำลองของไอเอ็มเอฟ คาดว่าจีดีพีสหรัฐและญี่ปุ่น จะลดลง 1.5%-2.0% และของจีนลดลง 1% หากยูโรโซนถดถอยอีก ขณะที่การค้าของเอเชียอาจได้รับผลกระทบทันที เพราะยุโรปซื้อสินค้าเอเชียราว 1 ใน 3 เมื่อการเติบโตของยูโรโซนลดลงเหลือ 0% ก็จะได้เห็นการส่งออกจากเอเชียลดลงเหลือ 0% เช่นกัน

www.bangkokbiznews.com

การค้าและการเงินระหว่างประเทศ

การเงิน การธนาคารที่จะเปิดเสรีมากขึ้นเมื่อเป็น AEC


หลังจากความล่มสลายของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นความตกต่ำของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สาธารณะรุนแรงในสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจของประเทศในเอเชียได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจโลก ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประเมินว่า สัดส่วนของเศรษฐกิจเอเชียกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2558 สัดส่วนของเอเชียจะเพิ่มเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก (จีดีพีโลก)
การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 10 ประเทศ 600 กว่าล้านคน หรือ ASEAN Economic Community: AEC ที่จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2558 นี้ ซึ่งมุ่งเน้นในอาเซียนเป็นตลาดและศูนย์กลางของฐานการผลิตโลก จึงกลายเป็นอีกเวทีหนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตา
โดยการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งล่าสุด ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 26-30 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นการรายงานสถานการณ์ล่าสุด ถึงความคืบหน้าของเออีซี ทั้งนี้ นอกจากการเปิดเสรีการค้าบริการ เปิดเสรีแรงงาน และการลงทุน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักแล้ว การเปิดเสรีภาคการเงิน และเงินทุนเคลื่อนย้ายเป็นอีกเรื่องที่อ่อนไหว และนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมาก เพราะเป็นโอกาสที่จะเข้ามาทำกำไรในตลาดเงิน และตลาดทุนในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเสรีมากขึ้น ทำให้ระบบการเงินไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ
ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับการรวมตัวเป็น ประชาคมอาเซียนที่จะเชื่อมต่อตลาดและฐานการผลิตเป็นหนึ่งเดียว ระบบการเงินไทยจำเป็นต้องเร่งเตรียมการที่จะทำหน้าที่เป็นถนน เป็นสะพาน เป็นสาธารณูปโภคอำนวยความสะดวกทางการเงิน ในด้านการค้า การลงทุน และการย้ายฐานการผลิตของไทยด้วย
เปิดเสรี 4 ด้านเชื่อมระบบชำระเงิน
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวทางในการเจรจาเพื่อเปิดเสรีทางการเงิน และปรับปรุงระบบการเงินให้ เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในขณะนี้มียุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ 1. ระบบชำระเงินที่เชื่อมต่อกัน 2.การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น 3.ระบบการให้บริการทางการเงิน ซึ่งรวมถึงระบบสถาบันการเงิน และ 4.การเปิดเสรีของตลาดทุน ซึ่งในส่วนของ ธปท.ดูแลใน 3 ยุทธศาสตร์แรก
ด้านที่ 1. ในด้านระบบชำระเงิน คือ การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินของอาเซียนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเป็นถนนเชื่อมโยงระบบการค้าขาย และการใช้จ่ายของ 10 ประเทศ เพื่อให้สามารถชำระค่าสินค้า และบริการข้ามประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ทำได้สะดวก และเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง รวมถึงการปรับปรุงศักยภาพของระบบเพื่อรองรับการชำระเงินระหว่างกันด้วยสกุลภูมิภาคที่จะมากขึ้นในอนาคต และการเชื่อมโยงระบบเอทีเอ็มพูล ให้เป็นเครือข่ายเดียวกัน มีเป้าหมายที่จะทำให้สามารถใช้บัตรใบเดียว สามารถกดเอทีเอ็มได้ทุกที่ใน 10 ประเทศอาเซียน โดยขณะนี้กำลังพัฒนาใน 5 ด้าน ได้แก่ ระบบการชำระเงินรองรับการค้า การส่งเงินทุนข้ามประเทศ การชำระค่าบริการรายย่อย การชำระเงินค่าหุ้น และตราสารหนี้ และการพัฒนาระบบการชำระเงินของทุกประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทั้งนี้ การพัฒนาศักยภาพของระบบการเงินให้เชื่อมโยงกัน ในส่วนอาเซียน 5 คือ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซียไม่ยาก แต่กลุ่ม CLMV กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ยังต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ2 ของอาเซียนและมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกับกลุ่มนี้ ธปท.จึงมีบทบาทเป็นตัวกลางในการพัฒนาศักยภาพ (Capacity building) ของประเทศเหล่านี้ด้วย โดยเป็นประธานร่วมของคณะทำงาน Payments and Settelment System (PSS)”
เปิดก๊อกไหลออกรับมือย้ายเงินเสรี
สำหรับด้านที่ 2 คือ การเปิดเสรีเงินทุนมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้การเจรจายังเป็นการยอมให้เปิดเสรี ตามความพร้อมของแต่ละประเทศเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายให้เงินทุนเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรียิ่งขึ้น โดยลดหรือยกเลิกกฎระเบียบมาตรการเป็นอุปสรรคของการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่ก็จะมีการสร้างเกราะป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย ในส่วนของไทย จะดำเนินการตามแนวทางของแผนแม่บทเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ โดย ธปท.ต้องการที่จะวางแนวทางให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าและออกมีความสมดุลกันมากขึ้น โดยผ่อนคลายในเรื่องการนำเงินออกนอกประเทศที่เสรีมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์การนำเข้าเงินทุนจากต่างประเทศที่เสรี โดยจะผ่อนคลายการไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่เพื่อย้ายฐานการผลิต และส่วนบุคคล โดยจะมีการขยายประเภทนักลงทุน ขยายวงเงินลงทุนในต่างประเทศ ลดขั้นตอนและกฎระเบียบของการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่จะดูแลการบริหารความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นและมีทางเลือกมากขึ้น
สมาชิกอาเซียนมีกำหนดส่งแผนการเปิดเสรีระยะสั้น และระยะปานกลาง ภายในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งในระหว่างนี้ มีมติว่าประเทศใหญ่ ควรสนับสนุนประเทศที่เป็นสมาชิกใหม่ในเรื่องการทำแผนการเปิดเสรีเงินทุนทั้งนี้ ในช่วงแรก ผู้ว่าการ ธปท.ประเมินว่า จะยังเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่กระทบการปล่อยบาทออกสู่ตลาดต่างประเทศมากเกินไป และการดูแลค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคนี้กำลังมีความพยายามที่จะใช้การแลกเปลี่ยนเงินตราโดยตรงด้วยสกุลท้องถิ่น โดยไม่ต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลในการแลกเปลี่ยนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนนี้ ธปท.มีกลไกที่จะรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการเก็งกำไรค่าเงิน โดยเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นตามสถานการณ์ไว้แล้ว
ส่วนเป้าหมายการรวมสกุลเงินอาเซียนเป็นสกุลเดียวนั้น เราไม่มีเป้าหมายสุดท้ายของการร่วมกลุ่มเหมือนสหภาพยุโรป ที่จะรวมสกุลเงินเข้าด้วยกันเป็นเงินสกุลเดียว และคิดว่าน่าจะไม่มีในอนาคตเพราะเศรษฐกิจของ 10 ประเทศในอาเซียน ยังมีแตกต่างมากเกินไป เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่เป็น 100 เท่าของจีดีพีของประเทศลาว นอกจากนั้น เรามีบทเรียนของการรวมเป็นสกุลเงินยูโร เป็นเงินสกุลเดียวของประเทศในสหภาพยุโรป โดยมีนโยบายการคลังที่แตกต่างกัน ซึ่งในที่สุดก่อปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในปัจจุบัน
โดยโอกาสที่เป็นไปได้ ในอนาคตอาจจะเป็นเพียงการอิงค่าเงินกันเองระหว่างภูมิภาค โดยอาจจะมีสกุลใดสกุลหนึ่งในภูมิภาคนี้ กลายเป็นสกุลหลัก และมีสกุลอื่นมาอิงในลักษณะผูกโยงไปด้วยกัน ให้ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ค่าเงินสกุลหยวนของจีนเป็นเรือใหญ่ เรือเล็กอย่างค่าเงินบาทของไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศในอาเซียนอื่นๆ ผูกเรือโยงกับจีนด้วยเชือก อิงค่าเงินกันไป แต่เรือแต่ละลำก็สามารถขึ้นลงได้อิสระตามระดับน้ำ
เตรียมแบงก์ไทยรุกรับในตลาดอาเซียน
เมื่อมีถนนคือ ระบบการชำระเงินที่เชื่อมกันแล้ว มีเงินเคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้นแล้ว ก็มาถึงการให้บริการทางการเงิน ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะเหมือนเป็นไกด์ให้กับนักลงทุนไทยที่จะไปรุกตลาดอาเซียน ขณะเดียวกัน ก็ต้องรับมือการเข้ามาเปิดสำนักงาน หรือธนาคารพาณิชย์ของประเทศในภูมิภาคที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยด้วยทั้งนี้ เป้าหมายของการเปิดเสรีภาคการธนาคารนั้น เพื่อให้ตลาดการให้บริหารทางการเงินมีมากขึ้น และการเปิดเสรีจะช่วยให้ประชาชนได้รับผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ตอบโจทย์การให้บริการทางการเงินข้ามพรมแดนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาคธนาคารเป็นภาคที่มีความอ่อนไหว ทำให้เป็นการเปิดเสรีแบบ ASEAN-X คือ ตามความพร้อมและสอดคล้องของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินของแต่ละประเทศ เพราะระบบสถาบันการเงินมีความอ่อนไหว และเกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งการเปิดให้ต่างชาติเข้ามานั้น ในปี 2557 ประเทศไทยมีแผนที่จะเปิดใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ใหม่เต็มรูปแบบได้
โดยในขณะนี้ธนาคารกลางอาเซียน กำลังทำกรอบการเปิดเสรีภาคธนาคารภายในอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างมาตรฐานกลางของธนาคาร ที่เป็นธนาคารระดับอาเซียน ที่สามารถทำธุรกรรมการเงินได้ในทุกประเทศอาเซียน โดยมีจะการทำกรอบ มาตรฐานธนาคารอาเซียนหรือ Qualified ASEAN Bank : QAB ที่หากธนาคารใดได้มาตรฐานนี้ จะสามารถทำธุรกิจธนาคารในอาเซียนได้ทุกประเทศ โดยสิ้นปี 2555 นี้จะสรุปคุณสมบัติของ QAB และเริ่มมีการพิจารณาอนุญาต QAB ในปี 2557 และเริ่มการตั้งธนาคารพาณิชย์จริงในปี 2563
ด้าน นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ธปท. สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบสถาบันการเงินของไทยในขณะนี้มีความเข้มแข็ง และรับมือกับการแข่งขันจากธนาคารต่างประเทศที่เข้ามาได้แน่นอน เพราะเรามีจุดแข็งที่เรารู้จักลูกค้า และลูกค้ารู้จักเรา และในระบบการเงินการเปลี่ยนเงินฝากของประชาชนไปไว้ที่ธนาคารอื่น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผลตอบแทนสูงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความไว้ใจและเชื่อใจด้วย นอกจากนั้น การให้ผลตอบแทนสูงๆ ธนาคารต่างประเทศเองก็ต้องพิจารณาด้วยว่า คุ้มค่าหรือไม่
ในเบื้องต้น ธนาคารที่จะได้เปรียบในการเปิดเออีซี อาจจะไม่ใช่ธนาคารในอาเซียนเอง แต่เป็นธนาคารต่างประเทศ เช่น ซิตี้แบงก์ เอสเอชบีซี ที่มีสาขาอยู่ทุกประเทศในอาเซียน ทำให้เขาเชื่อมโยงระบบการให้บริการทางการเงินได้ง่ายกว่าแบงก์ในอาเซียนที่อยู่ระหว่างเตรียมการในการเชื่อมโยงระบบเข้าด้วยกัน
ในขณะเดียวกัน การรุกของธนาคารไทยไปต่างประเทศ ธปท.มองว่า ในช่วงต้นก็จะเป็นไปในทิศทางของการตอบสนองความต้องการของลูกค้าของธนาคารเก่าของธนาคารที่ไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่าการเข้าไปแย่งลูกค้าท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม ธปท.ได้มีการหารือกับธนาคารพาณิชย์ไทย ถึงข้อจำกัดต่างๆ ในการทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการเจรจาลดอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ธนาคารไทยมีโอกาสเข้าไปทำธุรกิจในอาเซียนได้สะดวกมากขึ้น เช่น อุปสรรคในเรื่องขอบเขตการทำธุรกิจ หรือการจำกัดสถานที่ตั้งของสาขา เป็นต้น
สิ่งที่ต้องติดตามคือ นวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่จากธนาคารต่างประเทศ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งประชาชนอาจจะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่มากขึ้น แต่บริการทางการเงินใหม่ๆนี้จะมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ ทำให้ลูกค้าจึงต้องศึกษารูปแบบของบริการทางการเงินใหม่ๆเหล่านั้นให้ชัดเจน โดยเฉพาะศึกษาความเสี่ยงที่มีก่อนที่จะฝากเงิน หรือลงทุน
ธนาคารพาณิชย์ได้ตื่นตัวรับมือเออีซี
สำหรับการสำรวจการเตรียมความพร้อม ธนาคารพาณิชย์ได้ตื่นตัวรับมือกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยรูปแบบการสร้างเครือข่ายให้บริการลูกค้า มีความแตกต่างกัน ประมาณ 4 แบบ
แบบแรก ใช้รูปแบบการเปิดเครือข่ายสาขา และรูปแบบธนาคารท้องถิ่น โดยรูปแบบสาขา เช่น ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย โดยล่าสุด ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ ล่าสุดได้รับอนุมัติจากธนาคารกลางอินโดนีเซีย เปิดสาขาย่อยสุราบายา ณ เมืองสุราบายา เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย เป็นสาขาที่ 2 ต่อจากสาขาจาการ์ตา โดยธนาคารกรุงเทพ มีเครือข่ายต่างประเทศมากถึง 26 แห่ง ใน 13 เขตเศรษฐกิจสำคัญทั่วโลก โดยในอาเซียน มีเครือข่ายสาขา 13 แห่ง ใน มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว และสำนักงานตัวแทนในย่างกุ้ง ประเทศพม่าขณะที่ธนาคารกรุงไทยมีสาขา 4 แห่ง ในสิงคโปร์ กัมพูชา และลาว และธนาคารกรุงศรีฯมีสาขาที่ลาว 2 แห่ง
แบบที่ 2 ใช้รูปแบบจับมือเป็นพันธมิตร กับธนาคารในท้องถิ่น เช่น ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งล่าสุดจับมืออกริแบงก์ ธนาคารเวียดนามชั้นนำที่มีสาขามากที่สุด เข้าเป็นพันธมิตรเพิ่มเติม จากปี 2554 ธนาคารได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเวียตตินแบงก์ เป็นแห่งแรกในเวียดนาม และยังเป็นพันธมิตรกับธนาคารท้องถิ่นในอาเซียน 7 แห่ง ใน 4 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ลาว เวียดนาม พร้อมตั้งเป้าหมายจะมีพันธมิตรธนาคารท้องถิ่นครบทั้ง 9 ประเทศ ภายในปี 2555 นี้
แบบที่ 3 คือ การเข้าไปซื้อกิจการ ซึ่งในส่วนของธนาคารไทยไปซื้อกิจการในต่างประเทศยังไม่มี ยกตัวอย่างได้จาก ธนาคารซีไอเอ็มบี มาเลเซีย ได้ใช้รูปแบบการเทกโอเวอร์ธนาคารท้องถิ่น เช่น ธนาคารในอินโดนีเซีย และในประเทศไทย ได้เข้ามาเทกโอเวอร์ธนาคารไทยธนาคาร เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อใช้เป็นฐานเชื่อมโยงธุรกิจในอาเซียน
แบบที่ 4 คือ การรวมทุกแบบเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีการตั้งเครือข่ายสาขาในสิงคโปร์ ลาว และกัมพูชา รวม 6 สาขา และมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับธนาคารท้องถิ่นในเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้น ในขณะนี้ได้มีการขอความร่วมมือในธนาคารพาณิชย์ โค้ดราคาซื้อขายเงินโดยตรงระหว่างสกุลท้องถิ่นให้ชัดเจนขึ้น เช่น สกุลเงินบาท กับสกุลเงินริงกิต ของมาเลเซีย หรือล่าสุด สกุลเงินบาทกับสกุลเงินจ๊าดของพม่า
โดย ธปท.ต้องการให้การแลกเปลี่ยนสกุลเงินโดยตรงระหว่างกันในอาเซียน มีต้นทุนที่ถูกลงกว่าในปัจจุบัน เพราะในขณะนี้การแลกเงินโดยตรงมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการแลกเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ      ความต้องการ เงินบาทค้าชายแดนเพิ่ม
นายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.สายออกบัตรธนาคาร ให้ความเห็นว่า เมื่อเข้าสู่เออีซีแล้ว สัดส่วนของการใช้เงินบาทแลกเปลี่ยนในการค้าชายแดนพม่า ลาว และกัมพูชา จะมากขึ้น เพราะในเขตชายแดนเชื่อมต่อกับประเทศเหล่านี้รับเงินบาทในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้า ควบคู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นเออีซี การใช้เงินบาทในฐานะตัวกลางในการซื้อขายการค้าชายแดนน่าจะมีความต้องการมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เงินบาทคงไม่ได้เป็นสกุลหลักในการค้าขายในภูมิภาค แต่เชื่อว่าบทบาทของเงินบาทน่าจะมีเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงต่อไปอาจจะมีการผ่อนคลายข้อจำกัดในการนำธนบัตร หรือเงินสด ข้ามเขตแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น จากในขณะนี้ที่กำหนดให้นำเงินข้ามแดนได้ไม่เกิน 500,000 บาท
ในส่วนของการพิมพ์ธนบัตรของ ธปท.นั้น ตามปกติจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของไทย แต่เมื่อเข้าสู่เออีซี การรวมตัวจะทำให้ตลาดและฐานการผลิตใหญ่ขึ้นไปด้วย ดังนั้น จำนวนการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นในแต่ละปีอาจจะต้องพิจารณาภาพรวมของเออีซีเพิ่มเติมด้วย โดยขั้นตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาแต่ทั้งนี้ การเข้าสู่เออีซีในปี 2558 จะเป็นเพียงการเริ่มต้นเปิดเสรีของระบบการเงินไทยเท่านั้น โอกาสที่การเปิดเสรีทางการเงินทั้งระบบสถาบันการเงิน การเคลื่อนย้ายเงินทุนเต็มรูปแบบคงยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมมากกว่านี้ เพราะตามกำหนดเออีซี ยอมให้การเปิดเสรีทางการเงินเต็มรูปแบบเลื่อนไปได้จนถึงปี 2563.
http://www.thai-aec.com/107