ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของค่าเงินประจำวันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2555 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.07/31.09 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ผ7/9) ที่ 31.21/31.22 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามเงินสกุลหลัก ภายหลังจากที่มีการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่ต่ำกว่าที่คาดของสหรัฐในวันศุกร์ที่ผ่านมา (7/9) โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 96,000 ตำแหน่ง จากที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 125,000 ตำแหน่ง ซึ่งปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน จากรายงานดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อพยายามลดต้นทุนการกู้ยืมและกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมกำหนดนโยบายในวันที่ 12-13 กันยายนนี้
อย่างไรก็ตามอัตราการว่างงานของสหรัฐ กลับลดลงสู่ระดับ 8.1% จาก 8.3% ในเดือนกรกฎาคม ทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างจำกัด ขณะเดียวกันตัวเลขการจ้างงานได้กดดันดอลลาร์ และหนุนราคาทองให้สูงขึ้นกว่า 2% และพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนในท้ายตลาดวันศุกร์ที่ 1741.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปริมาณการซื้อขายวันนี้มีพอสมควร ทั้งนี้ค่าเงินบาทมีกรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ระหว่าง 3106-31.09 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 31.08/09 บาท/ดอลลาร์
ในขณะที่ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.2787/1.2789 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7/9) ที่ระดับ 1.2684/1.2688 ดอลลาร์/ยูโร โดยค่าเงินยูโรได้มีการปรับตัวขึ้นหลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประกาศว่าอีซีบีพร้อมที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอในยูโรโซน อาทิเช่น สเปนและอิตาลีเพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม โดยจะเน้นไปที่พันธบัตรระยะสั้น 1-3 ปีและไม่จำกัดจำนวน จากรายงานดังกล่าวได้สร้างความพึงพอใจให้กับนักลงทุน เพราะนายดรากีได้ทำตามสัญญาที่ว่า "จะทำทุกอย่างที่ทำได้" เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินยูโรไว้ ทั้งนี้ค่าเงินยูโรทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดหลังจากที่ไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนท้ายตลาดวันศุกร์หลังจากที่มีรายงานการจ้างงานของสหรัฐที่ชะลอตัวลงมากในเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตลาดรอดูการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีในวันที่ 12 กันยายนนี้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยต่อสนธิสัญญาจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพ (ESM) และสนธิสัญญากำหนดกฎเกณฑ์ด้านงบประมาณ เพื่อเป็นเครื่องมือใหม่ในการแก้ไขวิกฤตหนี้ยูโรโซน ทั้งนี้จากผลสำรวจของรอยเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายคาดการณ์ว่าศาลสูงสุดเยอรมนีจะมีคำวินิจฉัยเชิงบวกต่อสนธิสัญญาทั้ง 2 ฉบับ แต่เชื่อว่าศาลจะกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดเพื่อจำกัดความสามารถของรัฐบาลเยอรมนีในการให้ความช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ในอนาคต ทั้งนี้ค่าเงินยูโรมีกรอบเคลื่อนไหวระหว่างวันอยู่ระหว่าง 1.2777-1.2781 ดอลลาร์/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.2779/80 ดอลลาร์/ยูโร
ขณะที่ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเปิดตลาดที่ระดับ 78.19/22 เยน/ดอลลาร์ จากระดับปิดตลาดเม่อวันอังคารที่ 78.94/96 เยน/ดอลลาร์ เงินเยนปรับตัวแข็งค่าขึ้น โดยเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะออก QE3 ส่งผลให้ความต้องการสกุลเงินปลอดภัยมีสูงขึ้น ทั้งนี้เยนมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่างที่ 78.15/78.33 เยน/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 78.28/30 เยน/ดอลลาร์
ในสัปดาห์นี้ตลาดรอติดตามการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ เปิดเผยดัชนีการจ้างงานเดือน ส.ค. (10/9), เปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือน ก.ค. (11/9), เปิดเผยข้อมูลสต๊อกสินค้าภาคค้าส่งเดือน ก.ค. (12/9), เปิดเผยราคานำเข้าและส่งออกเดือน ส.ค., คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มประชุมกำหนดนโยบายการเงินวันแรก, รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (13/9), เปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน ส.ค., คณกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดประกาศมติการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน, เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ส.ค. (14/9) , เปิดเผยยอดค้าปลีกเดือน ส.ค.
อัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ +6.6/6.9 สตางค์/ดอลลาณ์ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ +3.5/5.0 สตางค์/ดอลลาร์
www.matichon.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น