การหดตัวของอุตสาหกรรมการผลิตแผ่ขยายไปทั่วเอเชียในเดือนที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าวิกฤติหนี้ยูโรโซนส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
อุตสาหกรรมการผลิตเอเชียเดินสู่ขาลงต่อเนื่องในเดือนสิงหาคม ตามแรงถ่วงจากจีนที่มียอดการผลิตดิ่งลง เป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วภูมิภาค ให้เร่งมือป้องกันเศรษฐกิจทรุดตัว เมื่อตลาดตะวันตกมีความต้องการลดลงอย่างมาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) อย่างเป็นทางการของจีน ลดลงต่ำกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรกนับจากเดือนพฤศจิกายน 2554 โดยอยู่ที่ 49.2 จาก 50.1 เมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งตัวเลขต่ำกว่าระดับ 50 หมายถึงการหดตัว ส่วนตัวเลขเหนือระดับ 50 หมายถึงการขยายตัว ขณะเดียวกัน ผลสำรวจโดยธนาคารเอชเอสบีซี แสดงว่า กิจกรรมการผลิตของจีนหดตัวลงรวดเร็วสุดนับจากเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ 47.6 ดัชนีพีเอ็มไอของ เอชเอสบีซี ที่ครอบคลุมประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อื่นๆ ก็ให้ภาพใกล้เคียงกัน โดยดัชนีของเกาหลีใต้อยู่ที่ 47.5 ต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ส่วนดัชนีของไต้หวันแตะระดับต่ำสุดนับจากเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อยู่ที่ 46.1
รายงานหลายชิ้นแสดงว่า คำสั่งซื้อใหม่ๆ ตกอยู่ใต้แรงกดดัน ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นว่าประเทศในกลุ่มยูโรโซนจะประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่สหรัฐยังไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสเศรษฐกิจใดๆ แม้กระทั่งอินเดีย ซึ่งภาคการผลิตขยายตัวแบบไม่หยุดยั้งมานานกว่า 3 ปี ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกกลับลดลงในเดือนสิงหาคม ในอัตรารวดเร็วสุดนับจากเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อยู่ที่ 52.8 กิจกรรมการผลิตของอินโดนีเซียยังคงขยายตัวในเดือนที่ผ่านมา โดยดัชนีพีเอ็มไออยู่ที่ระดับ 51.6 สูงสุดในรอบ 10 เดือน แต่ยอดสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่ๆ ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้า ตัวเลขดัชนีพีเอ็มไอของจีน ก่อให้เกิดความคาดหมายว่า อัตราการเติบโตของประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อันดับสองของโลกรายนี้ จะซบเซาไปตลอดไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนกันยายน
ฉู่ ฮองปิน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ เอชเอสบีซี กล่าวว่า ดัชนีพีเอ็มไอที่ลดลงเป็นการยืนยันว่า อุตสาหกรรมการผลิตของจีนยังเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก รัฐบาลปักกิ่งต้องผ่อนคลายนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพการเติบโต และส่งเสริมสภาพแวดล้อมในตลาดแรงงาน ความซบเซาของภาคการผลิตจีน ถือเป็นความท้าทายสำหรับออสเตรเลีย ซึ่งลงทุนอย่างหนักในการพัฒนาภาคทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการจากจีน ราคาสินแร่เหล็ก และโภคภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่นๆ ร่วงลงในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เมื่อความต้องการจากจีนลดลง ส่งผลกระทบต่ออัตราผลกำไร และก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถในการเจริญเติบโตของโครงการเหมืองแร่บางโครงการ
แนวโน้มการส่งออกของเอเชียก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน โดยการส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้นำการส่งออกของทั้งภูมิภาค ลดลง 6.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว การส่งสินค้าไปยังตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก ลดลงเกือบทุกแห่ง ในช่วง 20 วันแรกของเดือนสิงหาคม การส่งออกจากเกาหลีใต้ไปจีนลดลง 5.6% ส่วนการส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 9.3% และการส่งออกไปสหรัฐลดลง 2.1% เช่นเดียวกับจีน อัตราเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ผ่อนคลายลงอยู่ที่ 1.2% ต่ำสุดนับจากเดือนพฤษภาคม 2543 เปิดโอกาสให้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ
โรนัลด์ แมน นักเศรษฐศาสตร์ เอชเอสบีซี กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของเกาหลีใต้ยังอ่อนแอ แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เสื่อมลงอย่างรวดเร็วเท่ากับในช่วงที่ผ่านมา แต่ความต้องการทั้งจากในประเทศและนอกประเทศยังหดตัวต่อเนื่อง กระตุ้นให้บริษัทท้องถิ่นลดการผลิตลง แมน แนะนำว่า ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างเด่นชัด ผู้กำหนดนโยบายในเกาหลีใต้จำเป็นต้องสนับสนุนความต้องการในประเทศมากขึ้น โดยเขาทำนายว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนนี้ หลังจากปรับลดไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม แม้กระนั้น เศรษฐกิจเอเชียไมได้ย่ำแย่ไปทั้งหมด ตัวเลขของญี่ปุ่นบ่งชี้ว่า การใช้จ่ายเงินทุนเอกชนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสอง โดยเพิ่มขึ้น 7.7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว และสูงกว่าสองเท่าของไตรมาสแรก
นอกจากนี้ จีนยังส่งสัญญาณความแข็งแกร่งในส่วนอื่นๆ นอกภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยดัชนีพีเอ็มไอที่ไม่รวมอุตสาหกรรมการผลิต ขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 56.3 จาก 55.6 แต่ดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ที่ลดลง บ่งว่าเศรษฐกิจจีนยังเผชิญลมต้านอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น