"บาร์เคลย์"ชี้สมมติฐานวิกฤตหนี้ยูโรโซนช็อก จีดีพีไทยจะหายไป3%ระดับความรุนแรงคิดเป็น2ใน3ของความตกต่ำเคยเกิดวิกฤตเลห์แมนล้มช่วงปี2551-2552
บาร์เคลย์ วาณิชธนกิจชั้นนำของยุโรป ได้เผยแพร่ "อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ รีเสิร์ช" ซึ่งเป็นบทวิเคราะห์แนวโน้มตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะเอเชีย จากการตั้งสมมุติฐานเศรษฐกิจยูโรโซนเกิดช็อกเข้าสู่ภาวะถดถอยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หมายถึงความเสี่ยงขาลงเกิดมากที่สุดกับตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย และคาดผลกระทบจากความตกต่ำของยุโรป จะส่งผลกระทบโดยรวมให้กับเอเชียมา
ทีมวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สตั้งสมมุติฐานที่ว่า หากเกิดภาวะช็อกในยูโรโซนไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากความตกต่ำในภูมิภาค ขณะที่ระดับความรุนแรงคิดเป็น 2 ใน 3 ของความตกต่ำเคยเกิดจากวิกฤตเลห์แมนล้มช่วงปี 2551-2552 ซึ่งช่วงเกิดวิกฤตการเงินครั้งนั้น การเติบโตของเอเชียหายไป 3.7% เงินเฟ้อดิ่งลง 7.3% ส่วนคาดการณ์จีดีพียูโรโซน คาดจะลดลงเกือบ 3% ในช่วง 3 ไตรมาสหน้า หรืออีก 9 เดือนข้างหน้า ซึ่งบวกกับราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง 40% คิดเป็นระดับความรุนแรง 2 ใน 3 ของช่วงเกิดวิกฤตปี 2551
หากปัญหาจีดีพียูโรโซนหายไปบวกปัญหาราคาน้ำมันโลกลดลง เกิดขึ้นพร้อมๆกัน คาดว่าทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุดช่วง 5-6 ไตรมาสหน้า ขณะที่ภาวะช็อกในยูโรโซนที่คาดหยุดไม่อยู่ ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทำให้คาดการณ์การเติบโตของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ลดลง 1.5% ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อลดลง 4% ก่อให้เกิดภาวะแวดล้อมเงินฝืดไม่รุนแรงทั่วทั้งภูมิภาค กรณีที่วิกฤตยูโรโซนกระจายวงกว้าง จนทำให้ตลาดการเงินเกิดการบิดเบือน อย่างกรณีสเปนและอิตาลีไม่สามารถเข้าถึงตลาดเงิน หรือความเสี่ยงเกี่ยวโยงกับกรีซมีมากขึ้น ผลที่ตามมาที่เกิดกับเศรษฐกิจโลก และผลกระทบเกี่ยวเนื่องสำหรับเอเชีย อาจเลวร้ายกว่าที่ทีมงานบาร์เคลย์ตั้งสมมุติฐานไว้
งานวิเคราะห์ยังประเมินการเปิดรับความเสี่ยงจากยุโรปของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ซึ่งเกิดขึ้นจาก 3 ช่องทาง ทั้งการค้า การลงทุนและผลกระทบเกิดกับความเชื่อมั่น พร้อมเปรียบเทียบความอ่อนไหวกับตลาดเกิดใหม่ส่วนอื่นของโลก พบว่าพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มที่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย อ่อนไหวกับภาวะช็อกส่งผ่านมาจากยูโรโซนน้อยกว่าตลาดเกิดใหม่อื่น
เมื่อแยกดูเป็นรายประเทศในเอเชีย พบว่าไม่น่าแปลกใจที่ประสบการณ์ของเอเชียที่จะได้รับจากวิกฤตยูโรโซนครั้งนี้ คล้ายคลึงกับที่เคยได้รับในช่วงปี2551-2552 และจากโมเดลการวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ บ่งชี้ผลกระทบที่ไทยและไต้หวันกับเกาหลีใต้จะได้รับรุนแรงปานกลาง คิดเป็นจีดีพีหายไป3% ตรงข้ามกับกลุ่มประเทศเอเชียอย่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย ซึ่งมีขนาดเล็กและเปิดกว้างมากที่สุด อีกทั้งเป็นเศรษฐกิจพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศ จะได้ผลกระทบรุนแรงมากกว่าในทันที โดยจีดีพีสิงคโปร์จะลดลง4.8%เทียบปีต่อปี และจีดีพีมาเลเซียจะลดลง4%เทียบปีต่อปี ขณะที่การเติบโตของกลุ่มเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้อย่างมากจากภายในประเทศ อย่างอินเดียและอินโดนีเซียจีดีพีจะหายไป0.4% และในจีนจีดีพีลดลง1.5%
ทีมงานบาร์เคลย์ระบุว่า จากรูปแบบวิเคราะห์ทั้งหมดข้างต้น บ่งบอกว่าเมื่อเอเชียรวมไทยเผชิญภาวะช็อกทั่วไปจากภายนอกภูมิภาค การเติบโตของเอเชียก็ลดลงทันที่ซึ่งเป็นสถานกรณ์เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งเอเชีย และแนวโน้มความตกต่ำจะเกิดขึ้นในเอเชียนั้น ปกติแล้วหลังเกิดภาวะช็อก จะใช้เวลา2-3ไตรมาสกว่าจะพ้นจุดต่ำสุดถึงจะฟื้นตัวได้ ส่วนการฟื้นตัวที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คล้ายคลึงกับภูมิภาคอื่นส่วนใหญ่ คือฟื้นตัวในรูปวีเชพ(V-shape)
ด้านรอยเตอร์ อ้างคำกล่าวของนายซู หมิน รองผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ในงานประชุมเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัมที่จีนว่า ว่าวิกฤติหนี้ยูโรโซนจะยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน นักลงทุนโดยทั่วไปคาดว่ายูโรโซน จะเผชิญความถดถอยปีนี้ เพราะล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤติ โดยการลุกลามของวิกฤติยุโรปจากแบบจำลองของไอเอ็มเอฟ คาดว่าจีดีพีสหรัฐและญี่ปุ่น จะลดลง 1.5%-2.0% และของจีนลดลง 1% หากยูโรโซนถดถอยอีก ขณะที่การค้าของเอเชียอาจได้รับผลกระทบทันที เพราะยุโรปซื้อสินค้าเอเชียราว 1 ใน 3 เมื่อการเติบโตของยูโรโซนลดลงเหลือ 0% ก็จะได้เห็นการส่งออกจากเอเชียลดลงเหลือ 0% เช่นกัน
www.bangkokbiznews.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น