บล็อกนี้ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้ที่ให้ความสนใจ ผู้จัดทำขอขอบคุณทุกท่านที่เขามาเยี่ยมชม

12 ก.ย. 2555

การพัฒนาตลาดการเงิน

วัตถุประสงค์ของการพัฒนาตลาดการเงิน
ตลาดการเงินเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น เป็นแหล่งที่ผู้มีเงินเหลือและผู้ที่ต้องการเงินมาพบและตกลงกู้ยืม หรือซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารรูปแบบต่างๆ ระหว่างกัน ดังนั้น การพัฒนาตลาดการเงินจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตลาดการเงินสามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ตลาดการเงินที่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีความลึกและความกว้าง กล่าวคือ มีผู้ออกตราสาร (supply side) ที่หลากหลาย ทำให้มีสินค้าให้เลือกจำนวนมากและมีความเสี่ยงในด้านเครดิตที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุน (demand side) จำนวนมากและหลากหลายประเภทที่จะทำให้มีความต้องการผลตอบแทนและความเสี่ยงในลักษณะที่แตกต่างกัน ผู้ออกตราสารและนักลงทุนหลากหลายประเภท ทำให้มีมุมมองต่อตลาดหลายทิศทาง จึงทำให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือของสินทรัพย์ทางการเงินจำนวนมาก ตลาดจึงมีความคล่องตัว และสามารถรองรับการทำธุรกรรมปริมาณมากได้โดยไม่กระทบกับราคา ลักษณะตลาดการเงินเช่นว่านี้ถือว่ามีสภาพคล่องสูง เพราะตราสารสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้โดยเร็วในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ การมีระบบการชำระราคาและส่งมอบที่มีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ
ในการทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำ
นอกจากนี้ ตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงจะช่วยให้ ธปท. สามารถใช้ตลาดการเงิน
เป็นช่องทางในการดำเนินนโยบายการเงิน และส่งผ่านนโยบายดังกล่าวไปยังระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อดูแลให้อัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยเหตุนี้ ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพัฒนาตลาดการเงินเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กล่าวข้างต้น
องค์ประกอบของตลาดการเงิน
ตลาดการเงินสามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์และรูปแบบการทำธุรกรรมได้หลายส่วน โดยแต่ละส่วนมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านอัตราผลตอบแทน ผู้เล่น ปริมาณธุรกรรม และระดับการพัฒนา
1. ตลาดเงินตราต่างประเทศ คือตลาดสำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยทั่วไปอยู่ในลักษณะ Over-the-Counter (OTC) ซึ่งผู้ดำเนินการจะเป็นธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทยและได้รับอนุญาตจาก ธปท. ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศกับลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ทั้งไทยและต่างประเทศ
เป็นผู้เล่นที่สำคัญในตลาดนี้
ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในไทยอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 กฎกระทรวง ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2497) รวมถึงประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และหนังสือเวียนเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินที่เกี่ยวข้อง
โดยทั่วไปประเภทของธุรกรรมเงินตราต่างประเทศประกอบด้วยธุรกรรมทันที (spot) ธุรกรรมล่วงหน้า (forward) ธุรกรรมสวอปเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange swap) และธุรกรรมอนุพันธ์เงินตราต่างประเทศ เช่น FX Options และ Cross Currency Swaps เครื่องมือการเงินของตลาดเงินตราต่างประเทศ เช่น FX Swap มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเครื่องมือการเงิน
ในตลาดเงิน เช่น Interbank และ Repo เพราะต่างก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกู้ยืมระยะสั้น ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตรา แลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Managed Float) ซึ่งค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ กำหนดโดยกลไกตลาดตามอุปสงค์และอุปทานในตลาดเงินตราต่างประเทศ ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
2. ตลาดเงิน เป็นตลาดสำหรับการกู้ยืมและการลงทุนระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี เพื่อบริหาร
สภาพคล่องในช่วงสั้นๆ ธุรกรรมในตลาดเงินส่วนใหญ่ ได้แก่ ธุรกรรมการกู้ยืมแบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ระหว่างธนาคาร การซื้อ-ขายตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ธปท.ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วแลกเงิน และการทำธุรกรรมซื้อคืน (Repurchase Agreement หรือ Repo)ซึ่งแบ่งเป็นธุรกรรมที่ ธปท. ทำกับสถาบันการเงินที่เป็น Primary Dealers เรียกว่าธุรกรรม Bilateral Repo และธุรกรรมที่ภาคเอกชนทำระหว่างกันเอง เรียกว่าธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน หรือ Private Repo เป็นต้น โดยในปี 2547 ธปท. ได้ผลักดันการสร้างเส้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงการกู้ยืมระหว่างธนาคารระยะสั้น หรือ BIBOR (Bangkok Interbank Offered Rates) สำหรับใช้เป็นอัตราอ้างอิงในการทำธุรกรรมการกู้ยืมเงินในตลาดเงิน รวมทั้งเป็นอัตราอ้างอิงสำหรับตราสารที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate note) ด้วย นอกเหนือจากธนาคารพาณิชย์ ผู้เล่นในตลาดเงินอื่นๆ ได้แก่ สถาบันการเงินอื่นๆ บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
3. ตลาดตราสารหนี้ คือตลาดสำหรับการระดมทุนและการออมในระยะที่ยาวกว่า 1 ปี โดยการออกตราสารหนี้ (Debt Securities หรือ Bonds) ผู้ออกตราสารหนี้และผู้ลงทุนจะมีความสัมพันธ์กันในฐานะลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยตามกำหนดเวลาและอัตราที่ชัดเจน และได้รับเงินต้นคืนเมื่อตราสารหนี้นั้นครบกำหนด
ผู้ออกตราสารหนี้ขายเพื่อระดมทุน (Issuer) ถือว่าเป็นการขายตราสารหนี้ในตลาดแรก (Primary Market) ส่วนการซื้อตราสารหนี้ที่มีการออกขายเพื่อการลงทุนหรือการออม (Investment) ทำได้โดยการซื้อจากผู้ออกโดยตรงในตลาดแรก หรือซื้อต่อจากนักลงทุนอื่นๆ ที่เรียกว่าเป็นการซื้อตราสารหนี้ในตลาดรอง (Secondary Market)
ตราสารหนี้สามารถแบ่งตามลักษณะของผู้ออก ได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ และตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยสามารถออกเป็นตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่น หรือสกุลเงินต่างประเทศก็ได้ นอกจากนั้น ผู้ออกยังสามารถเลือกวิธีการจ่ายดอกเบี้ยได้หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Bond) อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond) โดยอ้างอิงกับดัชนี (Index Linked Bond) หรืออิงกับอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Linked Bond) เป็นต้น ทั้งนี้ มีปัจจัยที่ใช้ประกอบการพิจารณาลักษณะของตราสารหนี้ที่จะออกหลายประการ เช่น ภาวะอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ความต้องการของนักลงทุน วัตถุประสงค์ในการระดมทุน และ net cash flow ที่ผู้ออกคาดว่าจะได้รับในอนาคต เป็นต้น ฐานของผู้เล่นในตลาดตราสารหนี้จะค่อนข้างหลากหลายกว่าผู้เล่นในตลาดเงิน นอกจากสถาบันการเงิน สถาบัน และองค์กรขนาดใหญ่แล้ว ยังรวมถึงนิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่เป็น
ผู้ออมทั่วไป (นักลงทุนรายย่อย) ด้วย รัฐบาลและ ธปท. ได้มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings bond) แยกจากตราสารหนี้ที่ออกเพื่อขายแก่สถาบันการเงินและสถาบันขนาดใหญ่ เพื่อจำหน่ายให้กับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการออมหรือการลงทุนระยะกลางและระยะยาวโดยเฉพาะ โดยจัดจำหน่ายผ่านสาขาธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อได้โดยสะดวก และทั่วถึงมากขึ้นด้วย
4. ตลาดอนุพันธ์ เป็นตลาดตราสารการเงินที่มีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าตลาดเงิน หรือตลาดเงินตราต่างประเทศ โดยตราสารอนุพันธ์จะมีสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying asset) เป็นตราสารการเงิน ธุรกรรม ราคาสินค้า ฯลฯ แล้วแต่คู่กรณีจะตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน ซึ่งตราสารอนุพันธ์ทางการเงินใช้เป็นเครื่องมือสัญญาป้องกัน/บริหารความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาหลักทรัพย์/สินค้า โดยราคาของอนุพันธ์ขึ้นกับระดับราคาของสินทรัพย์อ้างอิงที่ใช้ เช่น
ตราสารหนี้ ตราสารทุน อัตราแลกเปลี่ยน และสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจุบันสามารถแบ่งประเภทตลาดออกเป็น ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures market) และตลาดออปชัน (Option market) สำหรับตลาดตราสารหนี้ผู้ที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยอาจเลือกวิธีการป้องกันความเสี่ยงจากการปรับสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยได้โดยการทำธุรกรรม Interest Rate Swap (IRS) เพื่อแลกอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่รับจากพันธบัตรเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวแทน สำหรับอนุพันธ์ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นตราสารทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีการจัดตั้งบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TFEX) เมื่อปี 2547 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 โดยในปี 2549 TFEX ได้มีการออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดัชนี SET50 (SET50 Index Futures) ต่อมาในปี 2550 ได้ออกออปชันของดัชนี SET50 (SET50 Index Options) ในส่วนของฟิวเจอร์สและออปชันของสินค้าอ้างอิงประเภทอื่นๆ นั้น TFEX ได้มีแผนที่จะดำเนินการต่อไป สามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tfex.co.th สำหรับในเรื่องของสินค้าเกษตรนั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับการ ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการวางนโยบายการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับดูแล โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.afet.or.th
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมตลาดการเงินของไทยยังมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินอื่นๆ ไม่สามารถพัฒนาในเชิงลึกได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมมือกันในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อลดอุปสรรคในการพัฒนาตลาดของเครื่องมือบริหารความเสี่ยง รวมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เล่นประเภทต่างๆ ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ซึ่งมีความซับซ้อน การบริหารจัดการ และกฎเกณฑ์กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสามารถโอนถ่ายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
5. ตลาดตราสารทุน เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการระดมทุนของภาคธุรกิจในระยะยาวโดยการออกตราสารทุน ผู้ถือตราสารทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับผู้ออกตราสาร ซึ่ง
ผู้ลงทุนในตราสารทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) โดยสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลโดยตรง ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ http://www.sec.or.th และ http://www.set.or.th การเปรียบเทียบปริมาณธุรกรรมในแต่ละตลาดระหว่างปี 2545 – 2550 แสดงว่าตลาดเงินและตลาดเงินตราต่างประเทศมีสัดส่วนธุรกรรมสูงที่สุด
แนวทางของการพัฒนาตลาดการเงินไทย
ในปัจจุบันตลาดการเงินมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยหน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารต่างชาติ สภาวิชาชีพบัญชี และ ธปท. รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ/นักวิชาการ และผู้ร่วมตลาดอื่นๆ ได้ร่วมมือกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ เพื่อรองรับ และสนับสนุนการพัฒนาตลาดเช่น ระบบการชำระราคาและส่งมอบ ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินให้เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกรรม การส่งเสริมการทำธุรกรรมประเภทใหม่ๆ ตามความต้องการของผู้ร่วมตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป การแก้ไขแนวทางการจัดเก็บภาษีให้ยุติธรรม และไม่เป็นอุปสรรคในการทำธุรกรรม การจัดทำมาตรฐานบัญชี การผลักดันการทำ Codes of Conduct และมาตรฐานในการทำธุรกรรมของผู้ร่วมตลาด การจัดตั้งสมาคม หรือชมรมของผู้ร่วมตลาด เพื่อทำหน้าที่ศูนย์กลางการรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล และกำหนดแนวทางปฏิบัติมาตรฐานต่างๆ การจัดอบรมให้ความรู้ และการหารือกับผู้ร่วมตลาดทุกฝ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสม่ำเสมอ โดยการดำเนินการในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่จะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องโดยอาจเป็นการกำหนดให้เป็นแผนแม่บทหรือแผนงานกลยุทธ์ภายใต้คณะกรรมการหรือคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้น หรืออาจหารือเป็นการเฉพาะกิจ ซึ่งการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนทำให้สามารถเข้าใจปัญหาอุปสรรคและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างตรงประเด็น โดยแนวทางในการพัฒนามุ่งหวังให้เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพของตลาดการเงิน เพื่อให้ตลาดการเงินของไทยสามารถรองรับกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันการณ์และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาตลาดการเงินและตลาดทุนของไทย โดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับการพัฒนาตลาดทุนไทยซึ่งมี รมว.กระทรวงการคลังเป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุน และมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบในด้านต่างๆ www.bot.or.th

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอให้เป็นวันที่ดี,
    ฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก

    คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
    ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
    URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
    WhatsApp: +1 4704068043
    LINE ID: philipvoor
    อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
    ขอบคุณ
    VOORHEES PHILIP

    ตอบลบ